ในยุคปัจจุบันที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ล้วนแล้วแต่เห็นผู้คนก้มหน้าก้มตาอยู่กับจอมือถือหรือแทบเล็ต ไม่เว้นแม้แต่เด็กเล็กๆ หมอจึงมักได้รับคำถามจากคุณพ่อคุณแม่เสมอๆ ว่า การให้ลูกอยู่กับหน้าจอเหล่านี้นานๆ จะส่งผลต่อสายตาอย่างไร บทความนี้ได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยจากคุณพ่อคุณแม่ เพื่อคลายข้อสงสัยและให้คุณพ่อคุณแม่ตระหนักถึงความสำคัญของการถนอมดวงตาของลูกน้อยให้มีสุขภาพดีไปนานๆ
CVS คือกลุ่มอาการทางตาที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์มากเกินไป เช่น ปวดตา ตาล้า แสบตา ระคายเคืองตา ตาแดงเป็นๆ หายๆ ตามัว ตาแห้ง เป็นต้น ซึ่งในปัจจุบันอาการนี้ไม่ได้พบเฉพาะในผู้ใหญ่เท่านั้น แต่ยังพบในเด็กเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
โดยปกติแล้วเมื่ออายุมากกว่า 18 หรือ 20 ปี สายตาจะหยุดการเปลี่ยนแปลง คือไม่สั้นเพิ่มขึ้น ยกเว้นผู้ที่มีพยาธิสภาพเป็นโรคสายตาสั้นไม่หยุด สายตาจะยังคงสั้นเพิ่มขึ้นได้แม้ว่าอายุจะเกิน 20 ปีไปแล้ว แต่สำหรับในเด็กซึ่งยังมีการเจริญเติบโตและมีการเปลี่ยนแปลงของสายตา การใช้คอมพิวเตอร์อาจมีส่วนเกี่ยวข้องได้ โดยมีการศึกษาที่รายงานปัจจัยที่ทำให้เด็กสายตาสั้นเพิ่มขึ้น ได้แก่
แสงตามธรรมชาติหรือแสงอาทิตย์แบ่งประเภทตามความยาวของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ แสงอัลตราไวโอเลต(UV) แสงที่ดวงตามองเห็น(visible light) และแสงอินฟราเรด(infrared)
อย่างไรก็ดี แสงสีฟ้าไม่ได้มีอยู่เฉพาะในแสงแดดเท่านั้น แต่มีอยู่ในอุปกรณ์ต่างๆ ที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นหลอดไฟในบ้าน ไฟหน้ารถยนต์ โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือและแทบเล็ต ในปริมาณต่างๆ กันไป ทั้งนี้มีการศึกษาทดลองในหนู โดยการฉายแสงสีฟ้าใส่ตาหนู พบว่าแสงสีฟ้าในปริมาณน้อยๆ ไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่จอประสาทตา แต่เมื่อเพิ่มปริมาณของแสงสีฟ้าไปจนถึงระดับหนึ่งโดยสัมพันธ์กับเวลาที่เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เซลล์ในจอประสาทตา ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลให้เกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมเมื่ออายุมากขึ้นได้ ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า ถ้าดวงตาได้รับแสงสีฟ้ามากเกินไปอาจทำให้เกิดผลเสียได้ เพียงแต่ว่ายังไม่มีข้อสรุปที่แน่นอนว่าปริมาณและระยะเวลาเท่าไรจึงจะก่อปัญหาให้กับมนุษย์ได้
จริงๆแล้วผลของคอมพิวเตอร์ไม่ได้มีเฉพาะเพียงสายตา แต่มีผลต่อเรื่องอื่นๆ ที่สำคัญกว่าไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านอารมณ์ สังคม และสมาธิ ตามคำแนะนำของสมาคมกุมารเวชศาสตร์แห่งประเทศสหรัฐอเมริกาไม่แนะนำให้เด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบเล่นคอมพิวเตอร์ เนื่องจากไม่มีประโยชน์ในแง่พัฒนาการของเด็ก ส่วนในเด็กที่อายุมากกว่า 2 ขวบแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่จำกัดการใช้คอมพิวเตอร์รวมทั้งอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ต่างๆ ไม่ให้เกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน อย่างที่กล่าวแล้วว่าการใช้ตามองดูสิ่งของที่ใกล้ตลอดเวลาอาจมีผลทำให้เกิดสายตาสั้นได้ รวมทั้งสายตาเมื่อยล้าหรือ CVS ได้ด้วย คุณพ่อคุณแม่จึงควรจำกัดเวลา เช่น ให้เล่นเพียงแค่ 20-30 นาที แล้วให้หยุดพักสายตา
ถ้าเด็กสายตาสั้น เด็กจะมองไกลไม่ชัด อาจพบว่าเด็กจดการบ้านผิด หรือคุณครูบอกว่าเด็กต้องเดินไปข้างหน้าเพื่อมองกระดานหรือหยีตาจึงจะมองเห็น เมื่ออยู่บ้านต้องเดินไปใกล้โทรทัศน์หรือก้มลงอ่านหนังสือใกล้ตามากขึ้น หากคุณพ่อคุณแม่สังเกตเห็นความผิดปกติเหล่านี้ ควรพาลูกมาพบจักษุแพทย์ แต่ในบางครั้งแม้เด็กจะไม่มีอาการก็อาจมีภาวะสายตาผิดปกติ โดยเฉพาะที่ผิดปกติข้างเดียว ซึ่งอาจสัมพันธ์กับโรคสายตาขี้เกียจได้
แนะนำว่าเมื่อเด็กอายุ 3-5 ขวบควรมาตรวจตาครั้งแรกแม้ว่าจะไม่มีอาการผิดปกติใดๆ ก็ตาม โดยส่วนใหญ่จักษุแพทย์จะทำการตรวจคัดกรองโรคสายตาขี้เกียจ ซึ่งส่วนมากพบได้ 3-5% และถ้ารักษาได้เร็ว เด็กจะหายเป็นปกติได้ แต่ถ้าตรวจพบได้ช้า การรักษาให้หายขาดอาจเป็นไปไม่ได้เลย สำหรับความถี่ในการตรวจตา หากไม่มีอาการผิดปกติใดๆ ควรตรวจทุก 1-2 ปี แต่ถ้ามีภาวะสายตาผิดปกติ เช่น สายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียง หรือสายตาขี้เกียจ อาจจะต้องเข้ารับการตรวจถี่กว่าปกติหรือตามที่จักษุแพทย์แนะนำ
ข้อแนะนำในการป้องกันการเกิด CVS ทำได้ดังนี้
7 ข้อแนะนำเตรียมความพร้อมก่อนเข้าร่วมการแข่งขันวิ่งระยะไกล เพื่อความปลอดภัยของผู้เข้าแข่งขัน
พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบัน
นักธรรมชาติวิทยาคนแรกของโลก
นายแพทย์ชาวอังกฤษผู้ใช้เวลากว่า 10 ปีในการศึกษาระบบการไหลเวียนโลหิตในร่างกายว่าทำงานอย่างไร
เนื่องจากภาวะคลอดก่อนกำหนดจะทำให้ร่างกายของเด็กที่คลอดออกมายังไม่พร้อมต่อการเผชิญสภาพแวดล้อมภายนอก จึงต้องมีการดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ
เมื่อถูกงูกัด ควรตั้งสติให้ดีและปฐมพยาบาลให้ถูกต้อง เพื่อให้พิษส่งผลกระทบกับผูถูกกัดน้อยที่สุด และสามารถนำส่งแพทย์ได้ทัน
ภาวะสมองเสื่อมนั้นถือว่าเป็นโรคชนิดหนึ่ง ไม่ใช่ภาวะปกติของผู้สูงอายุ สาเหตุเกิดจากลักษณะการใช้ชีวิตในแต่ละวันของคนเราว่าจะเพิ่มความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้หรือไม่ จึงควรรู้ถึงสาเหตุและวิธีการป้องกันไม่ให้เกิดภาวะสมองเสื่อม