"Imagination is More Important Than Knowledge. Knowledge Is Limited. Imagination Encircles The World - จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ เพราะความรู้นั้นมีจำกัด แต่จินตนาการมีอยู่ทุกพื้นที่บนโลก"
Albert Einstein(อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์)

บันทึกความทรงจำของแอดมิน

ลูกไก่ตัวน้อยที่ยิ่งใหญ่และน่าสงสารของพ่อ

วันที่ 12 เมษายน 2566 เวลาประมาณ 09.30-10.30 น.

พ่อพาสุนัขที่เลี้ยงไว้ไปเดินในสวนปาล์มแถวบ้านหลังจากที่สุนัขกินข้าวเสร็จเหมือนกับที่ทำอยู่ทุกวัน แต่วันนี้สุนัขได้กลิ่นของไก่อยู่ในทางปาล์มที่วางทับซ้อนกันใกล้ๆเส้นทางที่เดินผ่าน เมื่อสุนัขเเข้าไปใกล้ได้ทำให้แม่ไก่ตกใจและบินหนี สุนัขเริ่มที่จะไล่ตามไป แต่พ่อก็พยายามที่จะห้ามพวกนั้นไว้จนได้ แม่ไก่จึงสามารถบินหนีรอดไปได้ไกล พ่อเดินกลับมาบริเวณที่แม่ไก่เคยอยู่และสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวเล็กๆ อยู่แถวโคนต้นปาล์ม เมื่อเข้าไปใกล้จึงได้เห็นเจ้า เจ้าเป็นลูกไก่ตัวเล็กขนาดกำปั้นเด็ก กำลังวิ่งหนีด้วยความตกใจ พ่อคิดว่าถ้าปล่อยเจ้าไว้ตรงนี้คงต้องโดนสุนัขทำร้ายแน่นอน จึงพยายามจับตัวเจ้าเอาไว้ แต่เจ้าก็วิ่งหลบรอบต้นปาล์มอย่างเต็มกำลัง และเจ้าได้ทำในสิ่งที่พ่อไม่เคยคิดว่าจะได้เจอคือ เจ้าพบรูใต้ต้นปาล์มและเจ้าพยายามที่จะเข้าไปหลบในรูนั้น แต่สิ่งที่พ่อเห็นคือ เจ้าสามารถเข้าไปได้เพียงหัวเจ้าเท่านั้น ตัวเจ้ายังคงอยู่ด้านนอกรูนั้น แต่เจ้าพยายามที่จะทำตัวให้นิ่งและเงียบไว้เพื่อที่ว่าคนที่เจ้ากำลังหนีจะได้มองไม่เห็นเจ้า นั่นคือสิ่งที่ทำให้พ่อรู้สึกประทับใจในจิตใจที่ต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดของเจ้าอย่างมาก พ่อยิ่งต้องรีบพาเจ้าออกไปให้พ้นจากสุนัข และพาเจ้ากลับไปไว้ที่บ้าน เพื่อที่ว่าจะพาเจ้าไปเก็บไว้ก่อน และรอแม่ไก่ของเจ้ากลับมาตามหาเจ้า จะได้พาเจ้ากลับสู่อ้อมอกของแม่เจ้าอีกครั้ง พ่อพาเจ้าไปอยู่ในตะกร้าและใส่น้ำกับข้าวสุกเอาไว้ให้เจ้า ช่วงประมาณเที่ยงพ่อเดินไปดูแถวที่พบเจ้า แต่ก็ไม่มีเสียงหรือการเคลื่อนไหวอะไรแถวนั้นเลย จึงต้องกลับมารอช่วงเย็นเพื่อกลับไปลองหาดูอีกครั้ง พอตกเย็นพ่อเดินไปดูอีกครั้งก็ยังไม่มีวี่แววของแม่ไก่ว่าจะกลับมาตรงจุดนั้นเลย พ่อแวะมาดูเจ้าแต่เหมือนกับว่าเจ้าจะไม่กินข้าวเลย เจ้าอาจจะยังเล็กและไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ แต่พ่อก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรมากไปกว่านี้แล้ว

เช้าของวันที่ 13 เมษายน 2566

ตอนเช้าหลังจากที่พ่อพาสุนัขไปวิ่งออกตามปกติ ในใจพ่อก็คิดจะพาเจ้าไปลองหาครอบครัวใหม่ เพราะมีบ้านที่อยู่ไม่ไกลเลี้ยงไก่และพ่อเห็นว่ามีแม่ไก่อยู่สองตัวที่มีลูกๆ คอยตามอยู่ พอกลับมาพ่อจึงรีบพาเจ้าใส่อุ้งมือไปยังบ้านหลังนั้น พ่อปล่อยเจ้าห่างจากแม่ไก่ตัวแรกไม่ไกลนักเพราะกลัวว่าถ้าเข้าใกล้กว่านี้จะทำให้แม่ไก่และลูกๆของมันหนีไป เมื่อเจ้าลงถึงพื้น เจ้ายืนนิ่งไม่นาน เจ้าก็ร้องและวิ่งอย่างสุดแรงไปยังเสียงของฝูงลูกไก่นั้น ถึงแม้ว่าพ่อจะไม่เข้าใจว่าเจ้าร้องว่าอะไร แต่พ่อรับรู้ได้ว่าเจ้าดีใจที่ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยของพวกเดียวกันจึงได้ร้องและวิ่งเข้าไปอย่างนั้น แต่เมื่อเจ้าเข้าไปในกลุ่ม สิ่งที่เจ้าได้รับกลับไม่ดีกับเจ้าเลย เพราะลูกไก่พวกนั้น เมื่อเจ้าเข้าไปใกล้ตัวไหน ตัวนั้นก็จะจิกเจ้า และเมื่อเจ้าเข้าไปใกล้แม่ไก่ แม่ไก่ก็จิกเจ้าด้วย แต่พ่อเห็นว่าเจ้าก็ยังทนอยู่ในกลุ่ม ไม่นานแม่ไก่ก็เดินไปหาอาหารตรงตำแหน่งอื่น ลูกๆก็เดินตามไปติดๆ แต่ด้วยขนาดของแม่ไก่และลูกๆของมันล้วนแต่ตัวใหญ่กว่าเจ้า จึงทำให้เกิดระยะห่างระหว่างเจ้ากับฝูงไก่นั้น แต่เจ้าก็ยังไม่ละทิ้งความพยายามที่จะเข้าฝูง เจ้าพยายามที่จะวิ่งตามฝูงนั้นไป ถึงแม้ว่าจะต้องล้มลุกคลุกคลานหลายครั้งก็ตาม ในที่สุดเจ้าก็คงเข้าใจแล้วว่ายังไงก็ตามไม่ทัน เจ้าจึงหยุดตามและยืนพัก พ่อปล่อยให้เจ้าตัดสินใจอยู่ตรงนั้นว่าเจ้าจะทำอย่างไรต่อไป เมื่อพ่อมั่นใจแล้วว่าเจ้าไม่คิดจะวิ่งตามฝูงนั้นไป พ่อเดินเข้าไปอุ้มเจ้าขึ้นมาและบอกเจ้าว่า ไว้เราค่อยมาลองใหม่ตอนเย็นนะ ตอนกำลังเดินกลับแต่ยังไม่พ้นจากละแวกบ้านที่เลี้ยงไก่ พ่อก็พบกับฝูงไก่อีกฝูงหนึ่ง ลูกไก่ในฝูงนี้จะมีขนาดใหญ่กว่าเจ้านิดหน่อย พ่อคิดว่าเจ้าอาจจะมีโอกาสที่จะเข้าฝูงนี้ได้ง่ายกว่าเพราะขนาดตัวของเจ้าไม่ค่อยต่างกับตัวอื่นในฝูง พ่อจึงปล่อยเจ้าลงอีกครั้ง เจ้ายืนนิ่งอยู่พักหนึ่ง เจ้าก็ร้องและวิ่งเข้าไปยังฝูงไก่เหล่านั้น แต่สิ่งที่เจ้าได้รับกลับไม่ต่างจากสิ่งที่เจ้าเพิ่งได้เจอมาจากฝูงแรกที่เจ้าเข้าไป เจ้ายังโดนลูกไก่ตัวอื่นในฝูงและแม่ไก่จิก แต่สิ่งที่ต่างออกไปจากฝูงแรกคือ เมื่อฝูงไก่เดินไปหาอาหารที่อื่น เจ้ากลับยืนนิ่งไม่พยายามวิ่งตามไปอีกแล้ว แม้ว่าพ่อจะไม่รู้ว่าเวลาเจ้าโดนจิกนั้น เจ้าจะเจ็บขนาดไหน แต่พอพ่อเห็นเจ้ายืนนิ่งอยู่แบบนั้น พ่อเข้าใจว่าจิตใจเจ้าบอบช้ำขนาดไหน เจ้าเป็นเพียงลูกไก่ตัวเล็กๆ ที่ตอนนี้แม่เจ้าหลบไปไหนแล้วไม่รู้ และเจ้าต้องโดนปฏิเสธไม่ให้เข้าฝูงไก่ด้วยกันอีกสองครั้ง จิตใจเจ้าคงจะเจ็บปวดมาก เจ้าคงคิดว่าเจ้าคงอยู่ตัวเดียวในโลกนี้แล้ว เจ้ายืนนิ่งอยู่ที่เดิมนานมาก พ่ออดสงสารเจ้าไม่ได้จึงต้องเข้าไปอุ้มเจ้ากลับบ้านและได้บอกเจ้าไว้ว่า ถ้าไม่มีใครสนใจเจ้า พ่อจะเลี้ยงดูเจ้าเอง พ่อจะทำให้เจ้ามีความสุขไม่แพ้ใครเลย พ่อพาเจ้ากลับมาใส่ในตะกร้า สักพักพอกลับมาดูเจ้ายังอยู่แบบเดิมไม่ขยับไปไหน พ่อคิดว่าเจ้าอาจจะยังรู้สึกไม่ดี พ่อจึงอุ้มเจ้าไปปล่อยบริเวณบ้านเผื่อว่าเจ้าจะเดินหาอะไรกินบ้าง หลังจากที่เจ้าไม่ยอมกินข้าวที่ใส่ไว้ให้เลย แต่พอปล่อยเจ้าลงพื้น เจ้ากลับนั่งนิ่งลงกับพื้น หลับตาเหมือนจะหลับอยู่ตรงนั้น พ่อต้องเอามือลองแตะๆเจ้า เจ้าน่าจะตกใจวิ่งไปหลบอีกที่หนึ่งและนั่งลงหลับตาเหมือนเดิม เจ้าทำให้พ่อรู้สึกเป็นห่วงมากนะ พ่อจึงอุ้มเจ้าขึ้นมาไว้ที่ตักและให้เจ้าปีนมาตามแขนของพ่อที่แนบไว้กับตัวเพื่อให้เจ้าสามารถยืนได้ พ่อกับเจ้าอยู่กันแบบนั้นพักใหญ่เพื่อรอให้แฟนของพ่อกลับมาจากทำบุญที่วัดเพราะวันนี้ตรงกับวันสงกรานต์และเป็นวันพระ พอแฟนพ่อกลับมาไม่นาน เราก็เห็นแม่ไก่ตัวหนึ่งและคิดว่าน่าจะเป็นแม่ไก่ของเจ้า พ่อจึงนำเจ้าออกจากตะกร้าและพาเจ้าไปปล่อยใกล้ๆ แม่ไก่ตัวนั้น แต่เจ้ากลับวิ่งไปหลบใต้ต้นหญ้าแทน ต้นหญ้าแถวนั้นสำหรับพ่อมันก็สูงเกินตาตุ่มมานิดหน่อย แต่สำหรับเจ้าแล้ว เจ้าหลบอยู่ใต้นั้นโดยไม่มีใครเห็นได้เลย ด้วยความกลัวว่าเจ้าจะหายไป พ่อเลยพยายามจับเจ้าออกมาจากต้นหญ้าพวกนั้น แต่พ่อน่าจะทำให้เจ้าตกใจ เจ้าจึงพยายามหนีฝ่าดงหญ้าเหล่านั้น ซึ่งบางจุดมันมีหนามแหลมอยู่ด้วย เมื่อพ่อจับเจ้าออกมาได้แล้ว พ่อพาเจ้าไปวางในที่โล่งและคราวนี้เจ้าก็ได้เห็นแม่ไก่ตัวนั้นได้ชัดเจน เจ้าร้องและวิ่งเข้าไปหาแม่ไก่ตัวนั้นด้วยความดีใจ แต่สิ่งที่คิดไว้ก็ต้องทำให้ทั้งเจ้าและพ่อใจสลายอีกครั้ง เมื่อแม่ไก่ตัวนั้นจิกเจ้าและเดินจากไปอย่างไม่ใยดีเจ้าเลย พ่อเห็นเจ้าทรุดตัวลงนั่งตรงนั้น พ่อสงสารเจ้าสุดหัวใจเลยนะ ตอนที่พ่ออุ้มเจ้าขึ้นมา เหมือนเจ้าจะขยับตัวน้อยลง พ่อพาเจ้ากลับมาใส่ในตะกร้าและสังเกตเห็นว่าเท้าขวาของเจ้าดูเหมือนจะไม่สามารถขยับได้ดังเดิมและเจ้ายังวางหน้าของเจ้าไว้กับพื้น พ่อวางเจ้าเอาไว้และลองเดินห่างออกมาสักพักและกลับมาดูเจ้าอีกครั้ง เจ้าก็ยังอยู่ในท่าเดิม พ่อพยายามเอาน้ำให้เจ้ากิน โดยหยดไปตรงปลายจงอยปากของเจ้า เจ้าก็สบัดหน้าออกไป พ่อปล่อยเจ้าไว้แบบนั้นเผื่อว่าเจ้าอาจจะเหนื่อย ผ่านไปสักพัก แฟนพ่อบอกว่าลองไปดูที่ตรงข้ามถนน มีแม่ไก่อยู่ตัวหนึ่ง พ่อคิดว่าน่าจะเป็นแม่ของเจ้าแน่ๆ เพราะไก่ตัวเมียแถวนี้ ตัวนี้คือตัวสุดท้ายแล้ว พ่อจึงกลับไปอุ้มเจ้า แต่พอวางเจ้าลงกับพื้น เจ้ากลับไม่สามารถยืนได้แล้ว เจ้าพยายามร้องและก้าวเดินออกไป แต่กลับกลายเป็นว่า เจ้าไม่สามารถยืนและเดินได้เพราะขาขวาของเจ้าน่าจะบาดเจ็บหนักแล้ว พ่อคิดว่าเจ้าน่าจะบาดเจ็บตอนที่เจ้าพยายามวิ่งหนีพ่อในกอหญ้าก่อนหน้านี้ เจ้านอนซึมตรงนั้นอยู่นาน แม้ว่าแฟนพ่อจะหาลูกปลวกซึ่งเป็นอาหารของเจ้ามาได้ พ่อพยายามหยิบขึ้นมาไว้ที่จงอยปากเจ้า เจ้าก็พยายามอ้าปากงับแต่เจ้าก็ไม่มีแรงพอที่จะกินมันเข้าไปได้ พ่อจึงต้องจำใจพาเจ้ากลับไปและครอบเจ้าไว้กับอาหารเหล่านั้นเผื่อว่าเจ้าจะกินมันเองได้ดีกว่าที่จะมีใครมาป้อนแบบนี้ พ่อปล่อยเจ้าไว้ประมาณ 1-2 ชั่วโมง ก็ตั้งใจจะไปดูอาการของเจ้า แต่พอออกมา แฟนพ่อก็บอกว่า เจ้าได้จากโลกนี้ไปแล้ว และได้เอาไปฝังเรียบร้อยแล้ว ความรู้สึกตอนนั้น พ่ออยากจะบอกเจ้าว่า พ่อขอโทษ พ่อไม่สามารถยื้อชีวิตของเจ้าไว้ได้นานกว่านี้และอาจเป็นสาเหตุให้เจ้าต้องตาย พ่อขอโทษที่ไม่สามารถทำให้เจ้าโตขึ้นมาอย่างมีความสุขอย่างที่พ่อตั้งใจไว้ได้ ขอโทษจริงๆ เจ้าเป็นเพียงลูกไก่ตัวเล็กที่ต้องมาจากไปทั้งๆ ที่สิ่งที่เจ้าทำให้พ่อเห็นนั้น มันทำให้พ่อหลงรักเจ้ามาก ทั้งตอนที่ไปเจอเจ้าครั้งแรกและเจ้าพยายามที่จะเอาตัวรอดด้วยการวิ่งและมุดลงรูทั้งๆที่มันลงไปได้แค่หัวเจ้าเท่านั้น เจ้าก็พยายามที่จะทำตัวให้นิ่งและเงียบที่สุด และการที่เห็นเจ้าพยายามที่จะเข้าฝูงให้ได้ พ่อนั่งเฝ้ามองทุกเหตุการณ์ของเจ้าอยู่ไม่คลาดสายตาสักวินาทีเดียว ทำให้พ่อซึมซับความเจ็บปวดของเจ้าที่มันหนักหนาเกินขนาดตัวของเจ้าไปมาก ขอให้เจ้าไปอยู่ในที่ที่มีแต่ความสุข ได้เจอกับคนที่รักเจ้า ตอนนี้เจ้าหมดทุกข์หมดโศกแล้วนะ เจ้าอาจจะรู้สึกว่าเจ้าจากไปอย่างเดียวดาย แต่ขอให้เจ้ารับรู้ไว้นะว่า ก่อนเจ้าจากไป เจ้ามีพ่อคนนี้ที่รักและห่วงใยเจ้าตลอดเวลาตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกัน และพ่อขอโทษเจ้าด้วยต่อการกระทำบางอย่างที่ไปทำร้ายเจ้าไม่ว่าทั้งร่างกายหรือจิตใจ ขอโทษจริงๆ
พ่อเขียนจดหมายนี้เพื่อเอาไว้ระลึกถึงเจ้า จะได้จดจำทุกรายละเอียดได้แม่นยำที่สุดแม้ว่ามันจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม ทั้งภาพที่เจ้ามุดดินหลบและภาพที่เจ้ายืนนิ่งด้วยความผิดหวังนั้น พ่ออยากจะจำมันให้ชัดเจนอยู่ในความทรงจำของพ่อเสมอ เจ้าลูกไก่ตัวน้อยที่ยิ่งใหญ่และน่าสงสารของพ่อ