ปัจจุบันกระแสการออกกำลังกายและการแข่งวิ่งในระดับต่างๆ เป็นที่นิยมมากขึ้น เราจะเห็นว่ามีรายการวิ่งผ่านตาแทบจะทุกสัปดาห์ นอกจากนั้นอายุเฉลี่ยของนักวิ่งก็สูงมากขึ้น ผู้สูงอายุหันมาให้ความสนใจกับสุขภาพมากขึ้น ทำให้เราได้ยินเหตุการณ์ที่นักวิ่งหมดสติหรือกระทั่งเสียชีวิตขณะวิ่งมากขึ้น และล่าสุดเมื่อเร็วๆ นี้ เกิดเหตุนักวิ่งเสียชีวิตขณะลงแข่งขันถึง 2 ราย ซึ่งผู้เสียชีวิตท่านหนึ่งอายุ 63 ปี และมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกก่อนหมดสติ ชวนให้สงสัยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดแบบเฉียบพลันมาก
การเสียชีวิตฉับพลันขณะออกกำลัง ส่วนใหญ่แล้วมีสาเหตุมาจากโรคหัวใจนั่นเอง ผู้ที่มีอายุเกิน 35 ปี มักมีสาเหตุจากโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือหลอดเลือดหัวใจตีบแบบเฉียบพลัน ส่วนผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 35 ปี มักเกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจหนาตัวผิดปกติหรือโรคกลุ่มหัวใจเต้นผิดจังหวะบางชนิดที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ศูนย์หัวใจโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต จึงมีคำแนะนำสำหรับนักวิ่งทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่น อันได้แก่
- ก่อนลงแข่งขันรายการวิ่ง นักวิ่งทุกช่วงอายุควรได้รับการตรวจสุขภาพกับแพทย์ โดยเฉพาะการแข่งขันวิ่งที่มีระยะทางมากกว่า 10 กิโลเมตรขึ้นไป อย่างน้อยควรได้รับตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และการเดินสายพาน(Exercise Stress Test) แบบ maximum test ในกรณีที่แพทย์พบสัญญาณหรือความผิดปกติบางอย่างหรือมีความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งการตรวจทั้งสองอย่างนั้นจะช่วยคัดกรองทั้งโรคกล้ามเนื้อหัวใจหนาตัวผิดปกติในนักวิ่งอายุน้อย และโรคหลอดเลือดหัวใจตีบในคนที่มีอายุเกิน 35 ปีอีกด้วย อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ผลการตรวจปกติอาจจะไม่สามารถการันตีได้ 100% ว่าจะไม่มีโอกาสเกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดขณะวิ่ง แต่ในกรณีโชคร้ายเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น บุคคลเหล่านั้นก็มักจะเป็นผู้ที่สภาพหัวใจแข็งแรงพอที่ร้องขอการช่วยเหลือจากทีมแพทย์ที่ดูแลการแข่งขันได้อย่างทันท่วงที และมีอัตราการเสียชีวิตที่ต่ำมาก
- สำหรับผู้ที่อายุ 35 ปีขึ้นไป นอกจากการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจและการเดินสายพานแล้ว ควรได้รับการตรวจสุขภาพและตรวจเลือด เพื่อค้นหาภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เช่น ระดับไขมัน น้ำตาลในเลือด การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
- ควรเตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนวันลงแข่ง โดยต้องมีการฝึกซ้อมเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี คืนก่อนวันแข่งขันควรนอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่ นักกีฬาบางท่านลงแข่งขันมาตลอดเป็นระยะๆ แต่ในบางรายการร่างกายอาจไม่พร้อม เช่น ช่วงนั้นงานหนัก คืนก่อนการแข่งขันไม่ได้พักผ่อน ก็อาจทำให้เกิดเหตุในวันแข่งได้ ถ้าหากรายการไหนที่ร่างกายไม่พร้อมก็ควรงดการแข่งไปก่อน
- ไม่ฝืนระยะตัวเอง กล่าวคือ เราซ้อมมาระยะทางเท่าไหร่ ชีพจรอยู่ในโซนไหนควรจะลงแข่งตามระยะนั้น และรักษาระดับชีพจรตามที่เราฝึกซ้อมมา บางท่านลงแข่งขันระยะ 20 กิโลเมตร แต่ซ้อมมาแค่ 15 กิโลเมตร หวังว่าเพื่อนจะช่วยลากหรือบรรยากาศจะช่วยพาไป ซึ่งลักษณะแบบนี้อาจทำให้เกิดอันตรายกับร่างกายและการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อได้
- ดื่มน้ำให้เพียงพอตลอดช่วงการวิ่ง โดยเฉพาะในวันที่มีอากาศร้อนอบอ้าว เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำและภาวะ Heat Stroke
- เลือกรายการการแข่งขันที่ได้มาตรฐาน มีทีมแพทย์ พยาบาล และรถปฐมพยาบาลที่ได้เตรียมพร้อมไว้เป็นอย่างดี สำคัญที่สุดคือต้องมีเครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจ หรือ AED หากไม่แน่ใจให้ถามผู้จัดรายการว่าทีมแพทย์และพยาบาลกู้ชีพ มีเครื่อง AED เตรียมพร้อมไว้หรือไม่ สำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจสูง เช่น ผู้ที่มีความดันเลือดสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ไม่ควรลงรายการวิ่งที่เส้นทางห่างไกลจากทีมกู้ชีพมาก เช่น การวิ่งสนามเทรล
- ควรศึกษาหาข้อมูลเรื่องอาการแสดงของโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และสังเกตอาการตัวเองขณะวิ่ง ซึ่งหากมีอาการเจ็บแน่นอก ควรหยุดวิ่งและตามทีมพยาบาลทันที โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยง
ความรู้อื่นๆ ที่น่าสนใจ
พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบัน
นักธรรมชาติวิทยาคนแรกของโลก
นายแพทย์ชาวอังกฤษผู้ใช้เวลากว่า 10 ปีในการศึกษาระบบการไหลเวียนโลหิตในร่างกายว่าทำงานอย่างไร
เนื่องจากภาวะคลอดก่อนกำหนดจะทำให้ร่างกายของเด็กที่คลอดออกมายังไม่พร้อมต่อการเผชิญสภาพแวดล้อมภายนอก จึงต้องมีการดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ
เมื่อถูกงูกัด ควรตั้งสติให้ดีและปฐมพยาบาลให้ถูกต้อง เพื่อให้พิษส่งผลกระทบกับผูถูกกัดน้อยที่สุด และสามารถนำส่งแพทย์ได้ทัน
ภาวะสมองเสื่อมนั้นถือว่าเป็นโรคชนิดหนึ่ง ไม่ใช่ภาวะปกติของผู้สูงอายุ สาเหตุเกิดจากลักษณะการใช้ชีวิตในแต่ละวันของคนเราว่าจะเพิ่มความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้หรือไม่ จึงควรรู้ถึงสาเหตุและวิธีการป้องกันไม่ให้เกิดภาวะสมองเสื่อม