"Education Is The Most Powerful Weapon Which You Can Use To Change The World - การศึกษาเป็นอาวุธที่ทรงพลังที่สุด ที่เราจะนำมาใช้ในการเปลี่ยนแปลงโลก"
Nelson Mandela(เนลสัน แมนเดลา)

วิลเลี่ยม ฮาร์วี่(William Harvey) ผู้ค้นพบระบบการไหลเวียนโลหิต

วิลเลี่ยม ฮาร์วี่ ผู้ค้นพบระบบการไหลเวียนโลหิต(Blood Circulation) ในร่างกายวิลเลี่ยม ฮาร์วี่

ก่อนการค้นพบ ระบบการไหลเวียนโลหิต(Blood Circulation) ในร่างกาย ของ วิลเลี่ยม ฮาร์วี่(William Harvey) ทุกคนต่างเชื่อว่าระบบโลหิตในร่างกายเป็นไปตามหลักการของ นายแพทย์ชาวกรีก ชื่อว่า คลาดิอุส กาเลน(Claudius Galen) ที่กล่าวไว้ว่า "ระบบโลหิตในร่างกายมนุษย์มีลักษณะคล้ายน้ำขึ้นน้ำลง ส่วนหัวใจมีหน้าที่ในการทำให้เลือดอุ่น ส่วนหลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดำไม่มีส่วนใดเกี่ยวข้องกันเลย เพราะฉะนั้นวิธีการรักษาเมื่อเลือดมีอุณหภูมิสูงขึ้น ทำได้โดยการผ่าตัดนำเลือดดำออกมา" ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นหลักการที่ไม่ถูกต้อง แต่หลังจากที่วิลเลี่ยม ฮาร์วี่ นายแพทย์ชาวอังกฤษได้ค้นพบความจริงเกี่ยวกับระบบการไหลเวียนโลหิตในร่างกายมนุษย์ และนำมาใช้ในการรักษาโรค การรักษาจึงมีประสิทธิภาพมากขึ้น

วิลเลี่ยม ฮาร์วี่(William Harvey) เกิดเมื่อวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 1578 ที่เมืองฟอล์คสโตน(Folkestone) ประเทศอังกฤษ(England) ในครอบครัวที่ร่ำรวย บิดาของเขาเป็นนายกเทศมนตรีของเมืองชื่อว่า โทมัส ฮาร์วี่(Thomas Harvey) ทำให้เขามีโอกาสได้รับการศึกษาที่ดี ฮาร์วี่สำเร็จการศึกษาขั้นต้นจาก The King's School(Canterbury) ซึ่งเป็นโรงเรียนมัธยมที่มีชื่อเสียงของอังกฤษ จากนั้นเขาได้ศึกษาวิชาแพทย์ในมหาวิทยาลัยเคมบริจด์(Cambridge University) หลังจากจบวิชาแพทย์ในปี ค.ศ. 1597 ฮาร์วี่ได้เข้าเรียนต่อในระดับปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยปาดัว(University of Padua) ประเทศอิตาลี ระหว่างที่เขาศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยปาดัว เขาได้พบกับ ศาสตราจารย์ฮีโรนิมุส เฟบริซิอุส(Hieronymus Fabricius) ซึ่งมีส่วนสำคัญที่ทำให้ฮาร์วี่ค้นพบระบบการไหลเวียนโลหิต

หลังจากที่ฮาร์วี่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยปาดัวแล้ว เขาได้เข้าทำงานเป็นแพทย์ประจำอยู่ที่โรงพยาบาลเซนต์บาร์โทโลมิว(St Bartholomew's Hospital) กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ฮาร์วี่เป็นแพทย์ที่มีความสามารถและเป็นที่ชื่นชอบของผู้ป่วยมาก คนไข้ของเขามีตั้งแต่บุคคลที่ร่ำรวยมหาศาล จนถึงคนที่ยากจนข้นแค้น ทำให้ชื่อเสียงของเขาเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป ต่อมาเขาได้รับเชิญให้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของแพทยสภา(Royal College of Physicians)ในวันที่ 5 มิถุนายน ค.ศ. 1607 ต่อมาในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1618 ฮาร์วี่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแพทย์ประจำพระองค์(Physician Extraordinary)ของพระเจ้าเจมส์ที่ 1(King James I) เมื่อพระเจ้าเจมส์เสด็จสวรรคต พระเจ้าชาร์ลที่ 1(King Charles I) ขึ้นครองราชสมบัติแทนก็ได้ทรงแต่งตั้งให้ฮาร์วี่เป็นแพทย์ประจำพระองค์ ระหว่างที่ฮาร์วี่ทำงานในตำแหน่งแพทย์ประจำพระองค์ของพระเจ้าเจมส์ที่ 1 เขาได้ทำการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับระบบการไหลเวียนของโลหิต โดยใช้เวลาในการค้นคว้านานถึง 10 ปี ในการบันทึก สังเกต และศึกษาจากการผ่าตัดผู้ป่วยมากกว่า 100 ราย และในที่สุดเขาสามารถค้นพบเกี่ยวกับระบบการไหลเวียนโลหิตในปี ค.ศ. 1628

หนังสือเกี่ยวกับระบบการไหลเวียนโลหิตในร่างกาย เขียนโดยวิลเลี่ยม ฮาร์วี่De Motu Cordis

ในปีเดียวกัน ฮาร์วี่ได้ตีพิมพ์ผลงานของเขาเกี่ยวกับระบบการไหลเวียนโลหิตในร่างกายมนุษย์ ลงในหนังสือชื่อว่า "การทำงานของหัวใจ และระบบการไหลเวียนของเลือดในร่างกายสัตว์(Exercitatio Anatomica de Motu Cordis et Sanguinis in Animalibus หรือเรียกสั้นๆ ว่า De Motu Cordis)" ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับการทำงานของหัวใจว่ามีหน้าที่ในการสูบฉีดโลหิต ลักษณะของหัวใจคล้ายกับถุงกล้ามเนื้อที่เต้นอยู่ตลอดเวลา การเต้นของหัวใจทำให้เกิดการไหลเวียนของโลหิต โดยมีเลือดแดงที่ไหลออกจากหัวใจไปหล่อเลี้ยงทุกส่วนของร่างกาย จากนั้นเลือดแดงจะกลายเป็นเลือดดำ และกลับเข้าสู่หัวใจอีกครั้ง เลือดดำจะถูกส่งไปห้องหัวใจซีกขวาบนแล้วจึงไหลเข้าสู่ห้องหัวใจซีกขวาล่าง และส่งออกจากห้องนี้ไปสู่ปอดซึ่งมีหน้าที่นำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์(Carbondioxide) ในเลือดออกไป แล้วนำก๊าซออกซิเจนเข้าไปแทนที่ เมื่อปอดฟอกเลือดดำให้เป็นเลือดแดงแล้ว เลือดแดงจะถูกส่งกลับไปยังห้องหัวใจซีกซ้ายบนอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นจะถูกส่งไปยังห้องหัวใจซีกซ้ายล่าง ซึ่งมีหน้าที่ในการส่งเลือดไปเลี้ยงทุกส่วนของร่างกาย และจะเป็นระบบเช่นนี้เรื่อยไป เมื่อใดที่หัวใจหยุดเต้นก็เท่ากับว่าหยุดการสูบฉีดโลหิต เลือดในร่างกายก็จะกลายเป็นเลือดดำ ร่างกายไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้และเสียชีวิตในที่สุด นอกจากนี้ ฮาร์วี่ยังพบ หน้าที่ของลิ้นหัวใจ ซึ่งอยู่ระหว่างห้องหัวใจต่างๆ ว่ามีหน้าที่ในการป้องกันไม่ให้เลือดไหลย้อนกลับไปทางเดิม หัวใจลักษณะนี้จะมีอยู่ในสัตว์ที่มีปอด หรือหายใจเข้า-ออกทางจมูกเท่านั้น สัตว์น้ำหรือสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ซึ่งหายใจเข้า-ออกทางเหงือก ทางผิวหนัง หรือวิธีการอื่นๆ จะใช้ห้องหัวใจเพียงห้องเดียวทางด้านซ้ายก็เพียงพอต่อการสูบฉีดโลหิต

เมื่อฮาร์วี่เผยแพร่ผลงานออกไป ปรากฏว่าคนทั่วไปไม่เห็นด้วย และวงการแพทย์ก็ต่อต้านผลงานชิ้นนี้ คนไข้ของเขาบางคนถึงกับเลิกรักษากับเขาเลยทีเดียว จนกระทั่งเขาเสียชีวิตที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในวันที่ 3 มิถุนายน ค.ศ. 1657 ก็ยังไม่สามารถทำให้ทุกคนเชื่อถือในสิ่งที่เขาค้นพบได้ แต่หลังจากที่ อังตวน แวน เลเวนฮุค(Antonie Van Leeuwenhoek) สามารถประดิษฐ์กล้องจุลทรรศน์ได้สำเร็จ วงการแพทย์จึงสามารถพิสูจน์ได้ว่าระบบการไหลเวียนโลหิตของมนุษย์นั้นเป็นไปอย่างที่ฮาร์วี่กล่าวไว้

 

ความรู้อื่นๆ ที่น่าสนใจ

7 ข้อแนะนำสำหรับขาแรงก่อนลงแข่งขันวิ่งระยะไกล

7 ข้อแนะนำเตรียมความพร้อมก่อนเข้าร่วมการแข่งขันวิ่งระยะไกล เพื่อความปลอดภัยของผู้เข้าแข่งขัน

อริสโตเติล

นักธรรมชาติวิทยาคนแรกของโลก

ภาวะ "คลอดก่อนกำหนด"

เนื่องจากภาวะคลอดก่อนกำหนดจะทำให้ร่างกายของเด็กที่คลอดออกมายังไม่พร้อมต่อการเผชิญสภาพแวดล้อมภายนอก จึงต้องมีการดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ

การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อถูกงูกัด

เมื่อถูกงูกัด ควรตั้งสติให้ดีและปฐมพยาบาลให้ถูกต้อง เพื่อให้พิษส่งผลกระทบกับผูถูกกัดน้อยที่สุด และสามารถนำส่งแพทย์ได้ทัน

ทำอย่างไร...ห่างไกลสมองเสื่อม

ภาวะสมองเสื่อมนั้นถือว่าเป็นโรคชนิดหนึ่ง ไม่ใช่ภาวะปกติของผู้สูงอายุ สาเหตุเกิดจากลักษณะการใช้ชีวิตในแต่ละวันของคนเราว่าจะเพิ่มความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้หรือไม่ จึงควรรู้ถึงสาเหตุและวิธีการป้องกันไม่ให้เกิดภาวะสมองเสื่อม