วันเวลา และสถานที่รับบริจาคเลือด
- วันราชการ เวลา 08:30-20:00
- วันหยุดราชการ เวลา 08:30-20:00
- สถานที่รับบริจาค: ห้องธนาคารเลือด ชั้น 4 ตึกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลวชิระ ภูเก็ต โทร 076-361234 ต่อ 1285
ทำไมต้องมีการบริจาคเลือด
เลือดเป็นสิ่งสำคัญในการดำรงรักษาชีวิตมนุษย์ให้อยู่รอด นักวิทยาศาสตร์ได้พยายามค้นคว้ามาเป็นเวลานาน แต่ยังไม่ประสบผลสำเร็จในการหาสารประกอบอื่นๆที่มาทดแทนเลือดได้ ฉะนั้นเมื่อยามที่ร่างกายเสียเลือดจากอุบัติเหตุ ผ่าตัด หรือโรคที่จำเป็นต้องรักษาด้วยเลือด จึงจำเป็นต้องรับบริจาคเลือดจากบุคคลหนึ่งเพื่อนำไปให้อีกบุคคลหนึ่ง เพื่อช่วยเหลือชีวิตให้ทันท่วงทีนั่นเอง
ความจำเป็นต้องใช้เลือด
- เลือด 77% ที่ได้รับบริจาคถูกนำไปใช้เพื่อทดแทนเลือดที่สูญเสียไปในภาวะต่างๆ อาทิ อุบัติเหตุ การผ่าตัด โรคกระเพาะอาหาร การคลอดบุตร ฯลฯ
- อีก 23% เป็นการนำเลือดไปใช้เฉพาะโรค อาทิ โรคโลหิตจาง(ธารัสซีเมีย) เกล็ดเลือดต่ำ ฮีโมฟีเลีย เป็นต้น
การบริจาคเลือดไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริจาคแต่อย่างใด
การบริจาคเลือดคือ การสละเลือดส่วนเกินที่ร่างกายยังไม่จำเป็นต้องใช้เพื่อให้กับผู้ป่วย ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริจาค เพราะร่างกายแต่ละคนจะมีปริมาณเลือดประมาณ 17-18 แก้วน้ำ ร่างกายใช้เพียง 15-16 แก้วเท่านั้น ส่วนที่เหลือนั้นสามารถบริจาคให้ผู้อื่นได้ สามารถบริจาคเลือดได้ทุก 3 เดือนเพราะเมื่อบริจาคออกไป ไขกระดูกจะเป็นส่วนสำคัญในการสร้างเม็ดเลือดขึ้นมาทดแทนให้มีปริมาณเลือดในร่างกายเท่าเดิม ถ้าไม่ได้บริจาค ร่างกายจะขับเม็ดเลือดที่สลายตัว เพราะหมดอายุออกมาทางปัสสาวะและอุจจาระ
กระบวนการบริจาคเลือดตั้งแต่เริ่มลงทะเบียนจนกระทั่งบริจาคเลือดเสร็จสิ้น ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ซึ่งเจ้าหน้าที่จะเลือกเจาะเลือดที่เส้นเลือดดำบริเวณแขน แล้วเก็บเลือดบรรจุในถุงพลาสติก(Blood Bag) ตั้งแต่ 350-450 มิลลิลิตร(ซี.ซี.) ขึ้นอยู่กับน้ำหนักของผู้บริจาค
คุณสมบัติของผู้บริจาคเลือด
- สุขภาพสมบูรณ์พร้อมที่จะบริจาคเลือดได้ อายุ 17-70 ปี และมีน้ำหนัก 45 กิโลกรัมขึ้นไป(ทั้งหญิงและชาย)
- นอนหลับพักผ่อนเพียงพอ 6 ชั่วโมงขึ้นไป
- ไม่มีอาการน้ำหนักลดในระยะ 3 เดือนที่ผ่านมา โดยไม่ทราบสาเหตุ
- ไม่รับประทานยาแอสไพริน ยาคลายกล้ามเนื้อหรือยาแก้ปวดข้อภายใน 3 วันที่ผ่านมา
- ไม่มีอาการท้องร่วงหรือท้องเสียใน 7 วันที่ผ่านมา
- ไม่รับประทานยาแก้อักเสบภายใน 7 วันที่ผ่านมา
- ไม่เป็นโรคหอบหืด ลมชัก โรคผิวหนังเรื้อรัง ไอเรื้อรัง วัณโรค หรือภูมิแพ้อื่นๆ
- ไม่เคยเป็นโรคตับอักเสบ หรือมีคนในครอบครัวเป็น
- ไม่เป็นโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน หัวใจ ไต ไทรอยด์
- ไม่ถอนฟันภายใน 3 วันที่ผ่านมา
- ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศกับผู้อื่น
- ไม่ได้รับการผ่าตัดใหญ่ ภายใน 6 เดือนที่ผ่านมา หรือผ่าตัดเล็กภายใน 1 เดือนที่ผ่านมา
- ไม่ได้เจาะหู สัก ลบรอยสัก ฝังเข็ม ในระยะ 1 ปีที่ผ่านมา
- ไม่มีประวัติติดยาเสพติด หรือเพิ่งพ้นโทษในระยะ 3 ปีที่ผ่านมา
- ไม่เคยเป็นไข้เลือดออก ในระยะ 1 ปีที่ผ่านมา
- ไม่มีประวัติการรับเลือดของผู้อื่น ในระยะ 1 ปีที่ผ่านมา
- ไม่เคยอยู่ในพื้นที่ที่มีเชื้อมาลาเรียชุกชุมในระยะ 1 ปีที่ผ่านมา
เฉพาะสุภาพสตรี
- ต้องไม่อยู่ในระหว่างมีรอบเดือน
- ต้องไม่อยู่ในระหว่างคลอดบุตร หรือแท้งบุตรภายใน 6 เดือนที่ผ่านมา
- ต้องไม่อยู่ในระยะให้นมบุตร หรือตั้งครรภ์
การเตรียมตัวก่อนการบริจาคเลือด
- นอนหลับเพียงพอ อย่างน้อย 6 ชั่วโมง
- รับประทานอาหารตามปกติ ควรงดเว้นอาหารประเภทไขมันสูง
- งดบุหรี่อย่างน้อย 1 ชั่วโมง ก่อนบริจาค
- งดเครื่องดื่มมึนเมา 1 วัน ก่อนบริจาค
การปฎิบัติตัวระหว่างการบริจาคเลือด
- นอนในท่าสบายๆ อย่าเกร็งแขน กำมือสบายๆ กำและปล่อยเป็นจังหวะช้าๆ เมื่อเลือดเริ่มไหล
- ทำจิตใจให้สบาย หายใจเป็นปกติ อย่ากังวล ปล่อยให้เจ้าหน้าที่ทำการเจาะเลือดอย่างสะดวก
- ปล่อยใจให้เป็นสมาธิ อธิษฐานจิตถึงผู้ป่วยที่จะได้รับเลือดของท่าน
- เมื่อบริจาคเรียบร้อย ให้พับแขน วางข้อศอกและแขนแนบลำตัว อย่าเกร็งแขน
- นอนพักบนเตียงประมาณ 5 นาที รอจนได้รับการปิดพลาสเตอร์ยา
- ลุกขึ้นนั่ง มองไกลๆ หายใจลึกๆสักครู่ จึงลงจากเตียง
- นั่งพัก รับเครื่องดื่ม ควรดื่มน้ำให้มากกว่าปกติ ประมาณ 2 วัน
- ถ้าร่างกายและจิตใจท่านพร้อม หลังบริจาคจะไม่มีอาการใดๆเลย หากมีอาการเวียนศีรษะให้รีบนั่งลง และแจ้งเจ้าหน้าที่ทันที
ข้อปฎิบัติหลังการบริจาคเลือด
- รับประทานยาธาตุเหล็กที่ได้รับวันละ 1 เม็ด จนหมดเพื่อป้องกันการขาดธาตุเหล็ก
- หลีกเลี่ยงการใช้กำลังแขนข้างที่เจาะ เป็นเวลา 12 ชั่วโมงเพื่อป้องกันการบวมช้ำ
- งดกิจกรรมที่ใช้กำลังและเสียเหงื่อที่ทำให้อ่อนเพลียได้
สิ่งที่ท่านได้รับเมื่อเป็นผู้บริจาคเลือดประจำ
- ทราบหมู่เลือดหลายๆระบบ
- ได้รับการตรวจความดันเลือด ความเข้มข้นของเลือด โรคติดเชื้อทางเลือด(ซิฟิลิส ไวรัสตับอักเสบชนิดบี ไวรัสตับอักเสบชนิดซี และเอดส์)
- ได้รับการตรวจวิเคราะห์สารเคมีในเลือด พิเศษปีละ 1 ครั้ง เช่น ตรวจระดับน้ำตาล ไขมัน ตรวจสภาะวะการทำงานของตับและไต เป็นต้น
- ได้รับเครื่องหมายเชิดชูเกียรติ
เครื่องหมายเชิดชูเกียรติ
- เข็มที่ระลึกผู้บริจาคเลือด
- ครั้งที่ 1, 7, 16 รับจากธนาคารเลือด
- ครั้งที่ 24, 48, 60, 72, 84, 96 รับจากผู้ว่าราชการจังหวัด
- ครั้งที่ 36, 108 รับพระราชทาน
- เหรียญกาชาดสมนาคุณ
- บริจาคครบ 50 ครั้ง รับพระราชทานเหรียญกาชาดสมนาคุณ ชั้น 3
- บริจาคครบ 75 ครั้ง รับพระราชทานเหรียญกาชาดสมนาคุณ ชั้น 2
- บริจาคครบ 100 ครั้ง รับพระราชทานเหรียญกาชาดสมนาคุณ ชั้น 1
ตารางแสดงค่ารักษาพยาบาล ค่าห้องพิเศษ และค่าอาหารพิเศษ
จำนวนการบริจาค | ค่าห้องพิเศษและค่าอาหารพิเศษ | ค่ารักษาพยาบาล |
---|
บริจาคครบ 7-17 ครั้ง | ผู้มีสิทธิ์เบิกได้จากต้นสังกัด ให้ใช้สิทธิ์เบอกจากต้นสังกัดเดิมก่อน ถ้ามีส่วนเกินที่จะต้องจ่าย จะได้รับลดหย่อน 50% ผู้ไม่มีสิทธิ์เบิกได้จากต้นสังกัดเดิม ได้รับลดหย่อน 50% | ไม่ได้รับลดหย่อน |
บริจาคครบ 18-23 ครั้ง | ได้รับลดหย่อน 50% | ได้รับลดหย่อน 50% |
บริจาคครบ 24 ครั้งขึ้นไป | ได้รับลดหย่อน 50% | ได้รับลดหย่อน 100%(ฟรี) |
หมายเหตุ สำหรับผู้บริจาคครบ 18 ครั้งขึ้นไป ถ้าไม่มีสิทธิประกันสังคม หรือสิทธิเบิกได้ ข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ ให้นำใบรับรองจากธนาคารเลือดไปขึ้นทะเบียน ปรึกษาทำบัตรทอง ณ ห้องงานบัตรสุขภาพถ้วนหน้า โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต
ค่ารักษาพยาบาล หมายถึง เงินที่สถานบริการสาธารณสุขเรียกเก็บในการรักษาพยาบาล ดังนี้ ค่ายา ค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการเลือด ส่วนประกอบของเลือด การทดแทน ค่าน้ำยา อาหารทางเส้นเลือด ค่าออกซิเจนและอื่นๆ ทำนองเดียวกันที่ใช้ในการบำบัดรักษาโรค ค่าอวัยวะเทียม อุปกรณ์ในการบำบัดรักษาโรค รวมทั้งค่าซ่อมแซม ค่าบริการทางการแพทย์ ค่าตรวจ ค่าวิเคราะห์โรคในระดับปกติ ค่าตรวจสุขภาพประจำปี
ความรู้อื่นๆ ที่น่าสนใจ
7 ข้อแนะนำเตรียมความพร้อมก่อนเข้าร่วมการแข่งขันวิ่งระยะไกล เพื่อความปลอดภัยของผู้เข้าแข่งขัน
พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบัน
นักธรรมชาติวิทยาคนแรกของโลก
นายแพทย์ชาวอังกฤษผู้ใช้เวลากว่า 10 ปีในการศึกษาระบบการไหลเวียนโลหิตในร่างกายว่าทำงานอย่างไร
เนื่องจากภาวะคลอดก่อนกำหนดจะทำให้ร่างกายของเด็กที่คลอดออกมายังไม่พร้อมต่อการเผชิญสภาพแวดล้อมภายนอก จึงต้องมีการดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ
เมื่อถูกงูกัด ควรตั้งสติให้ดีและปฐมพยาบาลให้ถูกต้อง เพื่อให้พิษส่งผลกระทบกับผูถูกกัดน้อยที่สุด และสามารถนำส่งแพทย์ได้ทัน
ภาวะสมองเสื่อมนั้นถือว่าเป็นโรคชนิดหนึ่ง ไม่ใช่ภาวะปกติของผู้สูงอายุ สาเหตุเกิดจากลักษณะการใช้ชีวิตในแต่ละวันของคนเราว่าจะเพิ่มความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้หรือไม่ จึงควรรู้ถึงสาเหตุและวิธีการป้องกันไม่ให้เกิดภาวะสมองเสื่อม