หลายปีที่ผ่านมามีข่าวการสูญเสียบุคคลสำคัญในสังคมอยู่เป็นระยะ โดยสาเหตุหนึ่งที่นับวันเราจะได้ยินบ่อยและดูใกล้ตัวมากนั่นคือโรคมะเร็ง ซึ่งเป็นปัญหาการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของคนไทยมามากกว่าสิบปี ทั้งยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ผู้ที่เป็นโรคมะเร็งส่วนใหญ่มักไม่รู้ตัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไม่ได้รับการตรวจสุขภาพร่างกายเป็นประจำ ซึ่งกว่าจะรู้ตัวว่าเป็นโรคมะเร็งก็มีอาการผิดปกติปรากฏขึ้นแล้ว
กระทรวงสาธารณสุขเปิดเผยเมื่อไม่นานมานี้ว่า คนไทยเสียชีวิตจากโรคนี้เป็นอันดับหนึ่ง โดยเฉลี่ยปีละประมาณ 60,000 คน ซึ่งมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักเป็นประเภทที่คร่าชีวิตผู้ป่วยเพศชายมากที่สุด(16.2%) และในเพศหญิงเสียชีวิตจากมะเร็งเต้านมมากที่สุด(37.5%)
ในความเป็นจริงแล้วมะเร็งเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ หากมีการตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มแรก ดังนั้นแพทย์จึงแนะนำให้ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยง ซึ่งปัจจุบันการตรวจสุขภาพเป็นเรื่องง่าย ใช้เวลาไม่นาน แต่ผลที่ได้ช่วยให้เราติดตามสุขภาพของตัวเองอย่างใกล้ชิด คุ้มค่ากับเวลาเพียงเล็กน้อยที่เสียไป
มะเร็งเป็นโรคที่สามารถพบได้ในผู้ป่วยทุกเพศ ทุกวัย ตั้งแต่เด็กแรกเกิดไปจนถึงผู้สูงอายุ แต่โดยส่วนใหญ่จะพบในผู้ป่วยที่เป็นผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก และจะพบได้สูงในผู้ป่วยที่อายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป
"มะเร็ง" หรือทางการแพทย์เรียกว่า "เนื้องอกที่เป็นเนื้อร้าย" เป็นกลุ่มโรคที่เกี่ยวข้องกับการเจริญของเซลล์ที่มีความผิดปกติ คือ เซลล์จะแบ่งตัวและเจริญอย่างควบคุมไม่ได้ ก่อเป็นเนื้อร้าย และรุกรานไปยังอวัยวะส่วนข้างเคียง หรือแพร่กระจายไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายที่อยู่ห่างไกล ผ่านระบบน้ำเหลืองหรือกระแสเลือด
ไม่ใช่ว่าเนื้องอกทุกชนิดจะต้องเป็นมะเร็ง "เนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรง"(Benign tumor) เป็นเนื้องอกที่ไม่ใช่มะเร็ง เพราะเซลล์ของเนื้องอกชนิดนี้จะแบ่งตัวช้า และไม่ค่อยมีการแทรกตัวเข้าไประหว่างเซลล์ปกติ ไม่ค่อยมีการทำลายเซลล์ปกติใกล้เคียง และไม่สามารถแทรกตัวทะลุเข้าไปในหลอดน้ำเหลืองและหลอดเลือดได้ จึงทำให้ไม่มีโอกาสที่เซลล์เนื้องอกจะแพร่กระจายไปเติบโตเป็นก้อนเนื้อที่อวัยวะส่วนอื่นที่อยู่ไกลออกไปได้ เนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรงสามารถผ่าตัดรักษาให้หายขาดได้
ผลการวิจัยจากทั่วโลกยืนยันตรงกันว่าโรคมะเร็งร้อยละ 60 สามารถป้องกันได้ โดยการ:
- ตรวจร่างกายเป็นประจำทุกปี
- ตรวจเต้านมด้วยเครื่องดิจิตอลแมมโมแกรม
- ฉีดวัคซีนป้องกันในมะเร็งบางประเภท
- ไม่สูบบุหรี่หรือยาเส้น
- ไม่ดื่มสุรา
- ไม่สำส่อนทางเพศ
- ปกป้องตัวเองจากแสงแดดจัด
- รับประทานอาหารที่ช่วยต้านมะเร็ง
- รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเน้นอาหารจากพืชมากขึ้นทั้งผักและผลไม้ เลือกรับประทานอาหารที่ไม่ผ่านการขัดสีให้มากขึ้น
- ไม่รับประทานอาหารที่ผ่านกรรมวิธีที่ก่อให้เกิดมะเร็ง เช่น อาหารปิ้งย่างและรมควัน
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- มีพันธุกรรมผิดปกติ เป็นได้ทั้งพันธุกรรมที่ถ่ายทอดได้ หรือ พันธุกรรมชนิดไม่ถ่ายทอด
- สูบบุหรี่
- ดื่มสุรา
- ขาดสารอาหาร
- ขาดการกินผัก และผลไม้
- กินอาหารไขมัน และ/หรือ เนื้อแดงสูงต่อเนื่อง เป็นประจำ
- การสูดดมสารพิษบางชนิดเรื้อรัง เช่น สารพิษในควันบุหรี่(สารก่อมะเร็ง หรือ สัมผัสสารก่อมะเร็ง อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปริมาณสูง)
- ร่างกายได้รับโลหะหนักเรื้อรังจาก การหายใจ อาหาร และ/หรือ น้ำดื่ม เช่น สารปรอท
- ติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น ไวรัส เอชไอวี(HIV) ไวรัส เอชพีวี(HPV)
- ติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด เช่น เชื้อเอชไพโลริในกระเพาะอาหาร(โรคติดเชื้อเอชไพโลไร)
- ติดเชื้อพยาธิบางชนิด เช่น พยาธิใบไม้ตับ
- การใช้ยาฮอร์โมนเพศต่อเนื่อง
- อายุมาก เพราะเซลล์ผู้สูงอายุมีการเสื่อม และการซ่อมแซมต่อเนื่อง จึงเป็นสาเหตุให้เซลล์กลายพันธุ์ไปเป็นเซลล์มะเร็งได้
ร่างกายของมนุษย์เป็นเรื่องละเอียดอ่อน คุณต้องหมั่นสังเกตและตรวจดูการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ทันทีที่รู้ว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกาย นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนว่าโรคร้ายอย่างมะเร็งกำลังมาเยือน และสิ่งที่ดีที่สุดในการปัองกันไม่ให้ปัญหาเล็กๆ ลุกลามกลายเป็นเรื่องใหญ่และสายเกินกว่าจะรักษา คือการรีบไปพบแพทย์ทันทีเมื่อเกิดอาการดังต่อไปนี้
- มีก้อนเนื้อโตเร็วหรือมีแผลเรื้อรัง และไม่หายภายใน 1-2 สัปดาห์ หลังจากการดูแลตนเองในเบื้องต้น
- มีต่อมน้ำเหลืองโต มักคลำเจอก้อนแข็งและขนาดโตขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่มีอาการเจ็บ
- ไฝ ปาน หูด ที่โตเร็วผิดปกติหรือเป็นแผลแตก
- ลมหายใจมีกลิ่น หรือ มีกลิ่นปากรุนแรงจากที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
- เลือดกำเดาออกเรื้อรัง มักออกเพียงข้างเดียว ในบางกรณีก็อาจจะออกทั้งสองข้างได้
- ไอเรื้อรัง หรือ ไอเป็นเลือด
- มีเสมหะ หรือ น้ำลายปนเลือดบ่อย
- อาเจียนเป็นเลือด
- ปัสสาวะเป็นเลือด
- ปัสสาวะบ่อย ขัดลำ ปัสสาวะเล็ด โดยไม่เคยเป็นมาก่อน
- อุจจาระเป็นเลือด มูก หรือ เป็นมูกเลือด
- ท้องผูก สลับท้องเสีย โดยไม่เคยเป็นมาก่อน
- มีเลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติ
- มีประจำเดือนผิดปกติ
- มีเลือดออกทางช่องคลอดในวัยหมดประจำเดือน
- ท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นอึดอัดท้อง โดยไม่เคยเป็นมาก่อน
- มีไข้ต่ำๆ หาสาเหตุไม่ได้
- มีไข้สูงบ่อย หาสาเหตุไม่ได้
- น้ำหนักลดลงมากใน 6 เดือน(ตั้งแต่ 10% ขึ้นไปของน้ำหนักตัวเดิม)
- มีจ้ำห้อเลือดง่าย หรือ มีจุดแดงคล้ายไข้เลือดออกตามผิวหนังบ่อย
- ปวดศีรษะรุนแรงเรื้อรัง หรือ แขน/ขาอ่อนแรง
- ชักโดยไม่เคยชักมาก่อน
- ปวดหลังเรื้อรังและปวดมากขึ้นเรื่อยๆ อาจร่วมกับอาการแขน/ขาอ่อนแรง
โดยทั่วไปโรคมะเร็งมี 4 ระยะ ซึ่งทั้ง 4 ระยะ อาจแบ่งย่อยได้อีกเป็น เอ(A) บี(B) หรือ ซี(C) หรือเป็น หนึ่ง หรือ สอง เพื่อแพทย์โรคมะเร็งใช้ช่วยประเมินการรักษา ส่วนโรคมะเร็งระยะศูนย์(0) ยังไม่จัดเป็นโรคมะเร็งอย่างแท้จริง เพราะเซลล์แค่เริ่มมีลักษณะเป็นมะเร็งแต่ยังไม่มีการรุกราน(Invasive) เข้าเนื้อเยื่อข้างเคียง
ระยะที่ 1: ก้อนเนื้อ หรือ แผลมะเร็งมีขนาดเล็ก และยังไม่ลุกลาม
ระยะที่ 2: ก้อนเนื้อ หรือ แผลมะเร็งมีขนาดใหญ่ขึ้น เริ่มลุกลามภายในเนื้อเยื่อหรืออวัยวะ
ระยะที่ 3: ก้อนเนื้อ หรือ แผลมะเร็งมีขนาดใหญ่ขึ้น เริ่มลุกลามเข้าเนื้อเยื่อหรืออวัยวะข้างเคียง และลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้เนื้อเยื่อหรืออวัยวะที่เป็นมะเร็ง
ระยะที่ 4: ก้อนเนื้อ หรือ แผลมะเร็งมีขนาดโตมาก และ/หรือ ลุกลามเข้าเนื้อเยื่อหรืออวัยวะข้างเคียง จนทะลุ และ/หรือ เข้าต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้ก้อนมะเร็ง โดยพบต่อมน้ำเหลืองโตคลำได้ และ/หรือ มีหลายต่อม และ/หรือ แพร่กระจายเข้ากระแสโลหิต และ/หรือ หลอดน้ำเหลืองหรือกระแสน้ำเหลือง ไปยังเนื้อเยื่อหรืออวัยวะที่อยู่ไกลออกไป เช่น ปอด ตับ สมอง กระดูก ไขกระดูก ต่อมหมวกไต ต่อมน้ำเหลืองในช่องท้อง ในช่องอก และ/หรือ ต่อมน้ำเหลืองเหนือกระดูกไหปลาร้า
ในปัจจุบันการรักษาโรคมะเร็งมีหลายวิธี ได้แก่ ผ่าตัด รังสีรักษา ยาเคมีบำบัด ยาฮอร์โมน ยารักษาตรงเป้า รังสีร่วมรักษา และการรักษาประคับประคองตามอาการด้วยอายุรกรรมทั่วไป โดยผู้ป่วยแต่ละคนจะใช้วิธีการรักษาที่แตกต่างกันออกไป บางรายอาจใช้วิธีรักษาเพียงวิธีเดียว บางรายจะต้องใช้วิธีการรักษาหลายวิธีร่วมกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ
- ระยะของโรค
- ชนิดของเซลล์มะเร็ง
- บริเวณของเนื้อเยื่อหรืออวัยวะที่เป็นมะเร็ง
- ผ่าตัดได้หรือไม่ หลังผ่าตัด ยังคงหลงเหลือก้อนมะเร็งหรือไม่
- ผลพยาธิวิทยาชิ้นเนื้อหลังผ่าตัดเป็นอย่างไร
- อายุของผู้ป่วย
- สุขภาพของผู้ป่วย
7 ข้อแนะนำเตรียมความพร้อมก่อนเข้าร่วมการแข่งขันวิ่งระยะไกล เพื่อความปลอดภัยของผู้เข้าแข่งขัน
พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบัน
นักธรรมชาติวิทยาคนแรกของโลก
นายแพทย์ชาวอังกฤษผู้ใช้เวลากว่า 10 ปีในการศึกษาระบบการไหลเวียนโลหิตในร่างกายว่าทำงานอย่างไร
เนื่องจากภาวะคลอดก่อนกำหนดจะทำให้ร่างกายของเด็กที่คลอดออกมายังไม่พร้อมต่อการเผชิญสภาพแวดล้อมภายนอก จึงต้องมีการดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ
เมื่อถูกงูกัด ควรตั้งสติให้ดีและปฐมพยาบาลให้ถูกต้อง เพื่อให้พิษส่งผลกระทบกับผูถูกกัดน้อยที่สุด และสามารถนำส่งแพทย์ได้ทัน
ภาวะสมองเสื่อมนั้นถือว่าเป็นโรคชนิดหนึ่ง ไม่ใช่ภาวะปกติของผู้สูงอายุ สาเหตุเกิดจากลักษณะการใช้ชีวิตในแต่ละวันของคนเราว่าจะเพิ่มความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้หรือไม่ จึงควรรู้ถึงสาเหตุและวิธีการป้องกันไม่ให้เกิดภาวะสมองเสื่อม