1. การทำความสะอาดหู ให้ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำบิดหมาดเช็ดบริเวณใบหู และรูหูเท่าที่นิ้วจะเช็ดเข้าไปได้เท่านั้น
2. ขี้หู เป็นสิ่งที่ร่างกายผลิตขึ้นตามธรรมชาติ อาจจะแห้งหรือเปียก ขี้หูหากมีจำนวนมากจะร่วงหรือไหลออกมาเองจึงไม่จำเป็นต้องปั่นหรือแคะหู สำหรับคนที่มีขี้หูมากจับเป็นก้อนอุดตันหู ทำให้ได้ยินเสียงไม่ชัด ในกรณีนี้จะรู้สึกว่าหูอื้อ ไม่ควรแคะหูด้วยที่แคะหู กิ๊บเสียบผมหรือไม้จิ้มฟันเด็ดขาด เพราะอาจเป็นอันตรายต่อเยื่อแก้วหู ผนังรูหูอาจเป็นแผลและอักเสบ ซึ่งจะนำเชื้อโรคเข้าสู่ช่องหูโดยไม่รู้ตัว ควรใช้น้ำมันกลีเซอรีนหรือน้ำมันมะกอกหยอดหูวันละ 2 ครั้ง จะทำให้ขี้หูนิ่มและละลายหลุดออกมาเอง ถ้าไม่หายหรือมีอาการปวดหูหรือการได้ยินยังไม่ชัด ควรปรึกษาแพทย์
3. เมื่อเป็นหวัด เจ็บคอ ไม่ควรสั่งน้ำมูกแรงๆ หรืออุดจมูกข้างใดข้างหนึ่งในขณะสั่งน้ำมูก เพราะจะทำให้เชื้อโรคในคอและจมูกถูกดันเข้าสู่หูชั้นกลาง ทำให้เกิดการติดเชื้อเป็นโรคหูน้ำหนวกได้
4. ผู้ที่มีอาการของโรคหวัดภูมิแพ้ มักมีแนวโน้มที่จะเกิดโรคหูชั้นกลางอักเสบจากการติดเชื้อแทรกซ้อน จึงควรหลีกเลี่ยงสิ่งที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ และรับประทานยาเพื่อบรรเทาอาการของโรค ที่สำคัญหมั่นดูแลสุขภาพให้แข็งแรง โดยการออกกำลังกายอยู่เสมอ
5. ระวังอย่าให้หูได้รับการกระทบกระแทกแรงๆ เช่น การตบหูด้วยมือทั้ง 2 ข้าง เพราะจะทำให้เยื่อแก้วหูฉีกขาดหรือกระดูกหูหลุด จนเป็นเหตุให้การได้ยินลดลง
6. หลีกเลี่ยงการตะโกนหรือทำเสียงดังใส่กัน รวมทั้งเลี่ยงแหล่งที่มีเสียงดังอึกทึก เช่น เสียงดนตรีดังๆ ในสถานบันเทิง เสียงเครื่องจักรในโรงงาน หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรใส่เครื่องป้องกันเสียงหรือที่ครอบหู และถ้าหากต้องทำงานในที่เสียงดังมากๆ ควรได้รับการตรวจการได้ยินทุกๆ 6 เดือน
7. ถ้ามีแมลงเข้าหู ห้ามแคะออกเพราะจะทำให้แมลงเข้าไปในหูลึกยิ่งขึ้น ควรใช้น้ำสะอาดหรือน้ำมันที่ปลอดภัยเช่น น้ำมันมะกอก หยอดลงในรูหู ทิ้งไว้สักครู่เพื่อให้แมลงตาย แล้วเอียงหูให้น้ำมันไหลออกมาพร้อมแมลงแล้วใช้สำลีเช็ดให้สะอาด หรือหากเป็นเวลากลางคืนอาจใช้วิธีปิดไฟในห้องให้มืดแล้วใช้ไฟฉายส่องเข้าไปในรูหู แสงไฟจะล่อแมลงให้เดินออกมา
8. เมื่อมีอาการผิดปกติเกิดขึ้นในหู เช่น หูอื้อ ปวดหู คันหู มีน้ำหนองหรือเลือดไหลออกมาจากหู การฟังเสียงลดลง ควรรับการตรวจจากแพทย์ หู คอ จมูก และหากแพทย์ตรวจพบว่ามีแก้วหูทะลุหรืออักเสบ ต้องระวังไม่ให้น้ำเข้าหูขณะอาบน้ำหรือสระผม ให้ใช้สำลีอุดหูหรือใช้หมวกพลาสติกคลุมผมปิดถึงใบหู
ก่อนหยอดยาให้ทำความสะอาดช่องหูส่วนนอกและปรับอุณหภูมิของขวดยาให้ใกล้เคียงกับอุณหภูมิร่างกายเพราะการหยอดยาที่เย็นเกินไปจะทำให้เกิดอาการมึนศีรษะได้ ถ้าเก็บยาไว้ในตู้เย็นควรประคบด้วยมือสักครู่ก่อนใช้
วิธีการหยอดหู
1. ให้ผู้ป่วยนอนตะแคงหันหูด้านที่จะทำการรักษาขึ้น ยกศีรษะขึ้นให้อยู่ในแนวระนาบกับพื้นเพื่อให้ช่องหูอยู่ในแนวดิ่ง
2. ระวังอย่าให้ปากขวดยาสัมผัสกับหูผู้ป่วย ให้หยอดยาตามคำแนะนำของแพทย์ ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที ในกรณีที่หูชั้นนอกอักเสบ ให้ขยับใบหู ดึงใบหูขึ้นแล้วดึงไปด้านหลัง ซึ่งตำแหน่งช่องหูจะอยู่ในแนวดิ่ง โดยทำซ้ำหลายๆครั้ง จะช่วยไล่ฟองอากาศที่เกิดขึ้นและทำให้น้ำยาไหลเข้าช่องหูได้ดีขึ้น
3. ให้ผู้ป่วยลุกขึ้น ใช้กระดาษชำระที่สะอาดเช็ดบริเวณรอบๆ หู
1. ในการพบแพทย์แต่ละครั้ง แพทย์อาจสั่งยาหยอดหูชนิดใหม่ให้ ควรปรึกษาแพทย์ถึงการงดหรือหยุดใช้ยาตัวเดิมด้วย
2. เมื่อได้รับยาหยอดหูควรตรวจสอบดูว่า ยาหยอดขวดนั้นเป็นชื่อของท่านและเป็นยาสำหรับหยอดหูหรือไม่ แพทย์มีคำสั่งให้หยอดข้างไหน วันละกี่ครั้ง เวลาใดบ้าง และให้หยอดเป็นระยะเวลาเท่าไหร่(การหยอดยาบางชนิดเป็นเวลานานเกินไป อาจเป็นผลเสียได้)
3. ทุกครั้งที่มาพบแพทย์ ควรนำยาหยอดเดิมมาด้วย เพื่อดูจำนวนยาหยอดที่ยังเหลืออยู่
4. หากหยอดยาแล้วมีอาการแสบร้อน เวียนศีรษะ คันหูมากขึ้น สูญเสียการได้ยินหรือการทรงตัว หรือมีเสียงดังในหู ให้งดการหยอดยา และรีบปรึกษาแพทย์หรือพยาบาล
5. หากรู้สึกมีความผิดปกติเกิดขึ้นในหู ไม่ควรซื้อยาหยอดหูเอง ควรได้รับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์
7 ข้อแนะนำเตรียมความพร้อมก่อนเข้าร่วมการแข่งขันวิ่งระยะไกล เพื่อความปลอดภัยของผู้เข้าแข่งขัน
พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบัน
นักธรรมชาติวิทยาคนแรกของโลก
นายแพทย์ชาวอังกฤษผู้ใช้เวลากว่า 10 ปีในการศึกษาระบบการไหลเวียนโลหิตในร่างกายว่าทำงานอย่างไร
เนื่องจากภาวะคลอดก่อนกำหนดจะทำให้ร่างกายของเด็กที่คลอดออกมายังไม่พร้อมต่อการเผชิญสภาพแวดล้อมภายนอก จึงต้องมีการดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ
เมื่อถูกงูกัด ควรตั้งสติให้ดีและปฐมพยาบาลให้ถูกต้อง เพื่อให้พิษส่งผลกระทบกับผูถูกกัดน้อยที่สุด และสามารถนำส่งแพทย์ได้ทัน
ภาวะสมองเสื่อมนั้นถือว่าเป็นโรคชนิดหนึ่ง ไม่ใช่ภาวะปกติของผู้สูงอายุ สาเหตุเกิดจากลักษณะการใช้ชีวิตในแต่ละวันของคนเราว่าจะเพิ่มความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้หรือไม่ จึงควรรู้ถึงสาเหตุและวิธีการป้องกันไม่ให้เกิดภาวะสมองเสื่อม