"วัยทอง" หมายถึง วัยของผู้หญิงและผู้ชายที่มีอายุในช่วง 40-59 ปี ซึ่งอยู่ระหว่างวัยเจริญพันธุ์และวัยผู้สูงอายุ เป็นวัยที่ความสามารถในการผลิตฮอร์โมนเพศลดลงจนเกิดการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย และมีโอกาสเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพได้ง่าย เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคกระดูกพรุน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ เป็นต้น
"สตรีวัยทอง" หรือสตรีวัยหมดประจำเดือน หรือวัยหมดระดู หมายถึง สตรีในวัย 40-59 ปี ที่มีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลงเนื่องจากรังไข่หยุดทำงาน ซึ่งทำให้สิ้นสุดการมีประจำเดือนอย่างถาวรและมีการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาตามมา แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ
- ระยะก่อนหมดประจำเดือน(Perimenopause) เป็นระยะเริ่มของการหมดประจำเดือนทำให้สตรีมีประจำเดือนมาผิดปกติ ร่วมกับมีอาการทางร่างกาย เช่น ร้อนวูบวาบ มึนศีรษะ อ่อนเพลีย อารมณ์แปรปรวน ซึ่งระยะนี้จะเกิดประมาณ 2-3 ปี
- ระยะหมดประจำเดือน(Menopause) คือระยะเวลาตั้งแต่หมดประจำเดือนประมาณ 1 ปี
- ระยะหลังหมดประจำเดือน(Postmenopause) คือระยะเวลาหลังหมดประจำเดือน 1 ปี ซึ่งจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ได้แก่ ช่องคลอดตีบแคบ กระดูกพรุน และเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคต่างๆได้ง่าย
อาการผู้หญิงวัยทอง
อาการระยะสั้น
- ประจำเดือนมาไม่ปกติ มาติดกันหรือห่างกันมาก บางรายอาจมีเลือดออกมากผิดปกติ
- อาการร้อนวูบวาบ เกิดจากการแปรปรวนของระดับฮอร์โมน โดยจะมีอาการรุนแรงในช่วง 2-3 ปีแรกหลังหมดประจำเดือนและจะค่อยๆ ลดลงใน 1-2 ปี
- นอนไม่หลับ สาเหตุมาจากอาการร้อนวูบวาบ
- ด้านจิตใจ มักพบอาการซึมเศร้า อารมณ์หงุดหงิด มีความวิตกกังวลง่าย
- ช่องคลอดแห้ง เนื่องจากระดับเอสโตรเจนที่ลดลง ทำให้มีปัญหาในการร่วมเพศ มีอาการคัน อาการอักเสบของช่องคลอด มดลูก และช่องคลอดหย่อน ความต้องการทางเพศลดลง
- โอกาสมีลูกน้อยลงจากการตกไข่ที่ไม่แน่นอน และไม่สามารถมีลูกได้อย่างถาวรหลังประจำเดือนไม่มา 1 ปี
- ผิวหนังเหี่ยวแห้ง ขาดความยืดหยุ่น เป็นแผล และกระได้ง่าย
- เต้านมเล็กลง หย่อน ไม่เต่งตึง
อาการระยะยาว
- ระบบหัวใจและหลอดเลือด หลังหมดประจำเดือน ร่างกายจะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันมากขึ้น เนื่องจากจากการขาดเอสโตรเจน เพราะฮอร์โมนเอสโตรเจนทำหน้าที่สำคัญในการลดไขมันไม่ดี LDL
- กระดูกพรุน การขาดเอสโตรเจนของวัยหมดประจำเดือนจะทำให้มีการทำลายเนื้อกระดูกมากขึ้นถึงร้อยละ 5 ต่อปี จนเกิดเป็นโรคกระดูกพรุนตามมา โดยเฉพาะบริเวณกระดูกสันหลัง กระดูกข้อมือ และกระดูกสะโพก เป็นต้น
- ปัญหาทางเดินปัสสาวะ เนื่องจากเยื่อบุผนังท่อปัสสาวะบางลงและกระเพาะปัสสาวะหย่อนยาน ทำให้มีอาการแสบร้อนขณะปัสสาวะ และมีอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
- น้ำหนักขึ้นและเริ่มอ้วน เนื่องจากระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลงทำให้มีผลต่อระบบการเผาผลาญอาหาร และมีการสะสมไขมันบริเวณหน้าท้องมากขึ้น
การรักษา
อาการร้อนวูบวาบ
- สังเกตและจดจำสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการร้อนวูบวาบและหลีกเลี่ยงสิ่งนั้น
- หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่หรือการสัมผัสกับอากาศร้อนมาก
- หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด อาหารร้อน เครื่องดื่มที่มีสารกระตุ้นให้เส้นเลือดขยายตัว เช่น คาเฟอีนและแอลกอฮอล์
- รับประทานอาหารที่มีวิตามินอีและบี รวมถึงอาหารเสริมที่มีสารเหล่านี้
- งดสูบบุหรี่
- ผ่อนคลายจิตใจและหลีกเลี่ยงความเครียด เพราะความเครียดมีผลทำให้อุณหภูมิของร่างกายเพิ่มขึ้น
ช่องคลอดแห้งและปัสสาวะบ่อย
- ใช้สารหล่อลื่น เช่น K-Y Jelly เป็นต้น
- ใช้ครีมเอสโตรเจนทาเพื่อกระตุ้นให้เลือดมาหล่อเลี้ยงช่องคลอดมากขึ้น
- ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติขณะมีเพศสัมพันธ์ เพื่อช่วยกระตุ้นสภาวะการไหลเวียนเลือดที่ดีในช่องคลอด และทำให้ช่องคลอดยืดหยุ่นมากขึ้น
อาการนอนไม่หลับและอารมณ์แปรปรวน
- ใช้ยาลดอาการซึมเศร้า เช่น ยาในกลุ่ม SSRI รวมถึงทำกิจกรรมนันทนาการเพื่อผ่อนคลายความเครียด และทำให้จิตใจแจ่มใส
กระดูกพรุน
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหรือทำงานหนัก
- รับประทานอาหารที่มีแคลเซียม และวิตามินดีสูง
- การใช้ฮอร์โมนเสริม แต่อาจเพิ่มความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง
ผมร่วง
- รับประทานฮอร์โมนเอสโตรเจน เพื่อยับยั้งการสร้างไดไฮโดรเทสโทสเตอโรน(Dihydrotestosterone - DHT)ที่เป็นสาเหตุทำให้รากผมอ่อนแอ
- สระผมอย่างสม่ำเสมอเพื่อกำจัดและป้องกันเชื้อแบคทีเรียที่อาจเป็นสาเหตุการทำลายรากผมและหนังศีรษะ รวมถึงใช้ยาสระผมที่มีสารกระตุ้นการงอกใหม่หรือสารที่ช่วยบำรุงเส้นผม
ฮอร์โมนทดแทนในวัยทอง
ผู้หญิงในช่วงวัยทองจะมีการลดลงของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนมาก ทำให้เกิดอาการต่างๆตามมา ปัจจุบันผู้หญิงบางกลุ่มจึงหันมาใช้ฮอร์โมนทดแทนเพื่อลดปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและทางด้านอารมณ์ดังกล่าว รวมถึงช่วยป้องกันโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ อาทิ โรคหัวใจ โรคกระดูกพรุน โรคมะเร็ง เป็นต้น
ฮอร์โมนทดแทนที่มีการใช้ในวัยทอง คือ ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ที่ร่างกายขาดไปนั่นเอง นอกจากนั้น ยังใช้สารอื่นที่ออกฤทธิ์คล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจน หรือ โปรเจสเตอโรน(Progesterone)
รูปแบบการใช้ฮอร์โมน
- โดยการกินยา ทำให้ระดับไขมันที่ดีสูงขึ้น แต่จะทำให้ฮอร์โมนในเลือดไม่คงที่จากตับถูกทำลาย
- โดยการฉีดยา ยาจะไม่ผ่านตับและระดับไขมันที่ดีจะไม่เพิ่มเหมือนการกิน
- การใช้แผ่นปิด(estrogen-filled patch)โดยปิดที่แขนหรือก้น สามารถใช้ได้หลายวัน
- การฝังฮอร์โมน วิธีนี้จะทำให้ฮอร์โมนในเลือดสูงเกินกว่าปกติ 2-3 เท่า
- ครีมฮอร์โมนทาที่ผิวหนัง
- ครีมฮอร์โมนทาที่ช่องคลอด ซึ่งจะเหมาะกับผู้ที่มีอาการช่องคลอดแห้ง
ประโยชน์ฮอร์โมนทดแทน
- ป้องกันโรคกระดูกพรุน
- ป้องกันโรคหัวใจ
- ลดอาการวัยทอง
- ลดอาการร้อนวูบวาบ
- ลดอาการช่องคลอดแห้ง และคัน ทำให้ช่องคลอดเต่งตึง ไม่แห้ง
- ลดอาการปัสสาวะเล็ด
- ลดอารมณ์แปรปรวนและนอนไม่หลับ
- ป้องกันโรคหัวใจ โรคสมองเสื่อม มะเร็งลำไส้ และลดโรคแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน
ผู้ที่ควรหลีกเลี่ยง
- ผู้ที่มีประวัติมะเร็งเต้านม และมะเร็งมดลูก
- ผู้ที่เป็นโรคตับ
- ผู้ที่เกิดลิ่มเลือดที่เท้า
- ผู้ที่มีประจำเดือนผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ
อาการข้างเคียง
- คัดเต้านม
- ท้องอืด ท้องบวมจากภาวะตับถูกทำลาย
- มีประจำเดือน
ผลเสียการใช้ฮอร์โมน
- เพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งมดลูก มะเร็งเต้านม โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ในปริมาณมากและใช้ติดต่อกันนาน 10-15 ปี ซึ่งการใช้ฮอร์โมนทดแทนไม่ควรใช้ติดต่อนานเกิน 5 ปี
- มีโอกาสเกิดนิ่วในถุงน้ำดี โดยเฉพาะการใช้แบบรับประทาน หากต้องการป้องกันโรคดังกล่าวควรใช้ชนิดปิดหรือชนิดทา
ข้อแนะนำการใช้
สำหรับฮอร์โมนเอสโตรเจนชนิดทา ให้ทาวันละ 1 กรัม/ครั้ง บริเวณ หน้าขาหรือแขน และสามารถทาโลชั่นอื่นได้ตามปกติ หลีกเลี่ยงการทาบริเวณหน้าอก หน้าท้อง และอวัยวะเพศ เนื่องจากบริเวณดังกล่าวใกล้อวัยวะภายใน ตัวยาอาจซึมเข้าสู่อวัยวะภายในผ่านต่อมน้ำนมได้
ความรู้อื่นๆ ที่น่าสนใจ
7 ข้อแนะนำเตรียมความพร้อมก่อนเข้าร่วมการแข่งขันวิ่งระยะไกล เพื่อความปลอดภัยของผู้เข้าแข่งขัน
พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบัน
นักธรรมชาติวิทยาคนแรกของโลก
นายแพทย์ชาวอังกฤษผู้ใช้เวลากว่า 10 ปีในการศึกษาระบบการไหลเวียนโลหิตในร่างกายว่าทำงานอย่างไร
เนื่องจากภาวะคลอดก่อนกำหนดจะทำให้ร่างกายของเด็กที่คลอดออกมายังไม่พร้อมต่อการเผชิญสภาพแวดล้อมภายนอก จึงต้องมีการดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ
เมื่อถูกงูกัด ควรตั้งสติให้ดีและปฐมพยาบาลให้ถูกต้อง เพื่อให้พิษส่งผลกระทบกับผูถูกกัดน้อยที่สุด และสามารถนำส่งแพทย์ได้ทัน
ภาวะสมองเสื่อมนั้นถือว่าเป็นโรคชนิดหนึ่ง ไม่ใช่ภาวะปกติของผู้สูงอายุ สาเหตุเกิดจากลักษณะการใช้ชีวิตในแต่ละวันของคนเราว่าจะเพิ่มความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้หรือไม่ จึงควรรู้ถึงสาเหตุและวิธีการป้องกันไม่ให้เกิดภาวะสมองเสื่อม