"ความจริงใจต่อผู้อื่น เป็นคุณธรรมสำคัญมากสำหรับผู้ที่ต้องการความสำเร็จและความเจริญ เพราะช่วยให้สามารถขจัดปัดเป่าปัญหาได้มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาอันเกิดจากความกินแหนงแคลงใจและเอารัดเอาเปรียบกัน นอกจากนั้นยังทำให้ได้รับความเชื่อถือไว้วางใจ และความร่วมมือสนับสนุนจากทุกคน ทุกฝ่ายที่ถือมั่นในเหตุผลและความดี ผู้ที่มีความจริงใจจะทำการสิ่งใดก็มักสำเร็จได้โดยราบรื่น"
พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์(Albert Einstein)

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์(Albert Einstein) ผู้คิดค้นทฤษฎีสัมพัทธภาพอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์(Albert Einstein)เกิดเมื่อวันที่ 14 มีนาคม ค.ศ.1879 ที่เมืองอูล์ม ประเทศเยอรมนี เขาเป็นชาวเยอรมันแต่มีเชื้อสายยิว บิดาของไอน์สไตน์เป็นเจ้าของร้านจำหน่ายเครื่องยนต์และสารเคมี ชื่อว่า เฮอร์แมน ไอน์สไตน์(Herman Einstein) ต่อมาเมื่อไอน์สไตน์อายุได้ 1 ขวบ บิดาได้ย้ายไปอยู่ที่เมืองมิวนิค ซึ่งคนส่วนใหญ่ในเมืองเป็นชาวยิวทำให้ไม่มีปัญหากับเพื่อนบ้าน ไอน์สไตน์เป็นเด็กเงียบขรึม ไม่ค่อยชอบออกไปเล่นกับเพื่อนๆ ในวัยเดียวกัน จนบิดาเข้าใจว่าเขาเป็นคนโง่ จึงได้จ้างครูมาสอนพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องการพูด ถึงแม้ว่าการพูดของเขาจะดีขึ้น แต่เขาก็ยังเงียบขรึม และไม่ออกไปเล่นกับเพื่อนเหมือนเช่นเคย เมื่อไอน์สไตน์อายุได้ 5 ขวบ บิดาได้ส่งเข้าโรงเรียนที่ยิมเนเซียม(Gymnasium) นักเรียนในโรงเรียนแห่งนี้ทั้งหมดเป็นชาวเยอรมัน และนับถือศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก ไอน์สไตน์สามารถเข้ากับเพื่อนได้ดี แต่สิ่งที่เขาไม่ชอบมากที่สุดในโรงเรียนคือการสอนที่น่าเบื่อและใช้วิธีการท่องจำเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ไอน์สไตน์ไม่อยากไปโรงเรียน มารดาจึงหาวิธีแก้ปัญหาโดยการให้เขาเรียนไวโอลินและเปียโนแทน แต่วิชาที่ไอน์สไตน์ให้ความสนใจมากที่สุดคือ คณิตศาสตร์ โดยเฉพาะวิชาเรขาคณิตเป็นวิชาที่เขาชอบมากที่สุด ทำให้เขาไม่สนใจวิชาอื่นเลยยกเว้นคณิตศาสตร์ แม้ว่าจะทำคะแนนวิชาคณิตศาสตร์ได้ดี เขาก็มักจะถูกครูตำหนิอยู่เสมอ

เมื่อไอน์สไตน์อายุได้ 15 ปี กิจการโรงงานของพ่อเริ่มแย่ลง เนื่องจากการรวมตัวของบริษัทผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้าและเคมีหลายแห่ง ทำให้โรงงานของพ่อเขาไม่สามารถจำหน่ายสินค้าได้ ครอบครัวของเขาต้องย้ายไปอยู่ที่เมืองมิลาน(Milan) ประเทศอิตาลี(Italy) แต่ไอน์สไตน์ไม่ได้ย้ายตามไปด้วยเพราะยังติดเรียน หลังจากนั้นอีก 6 เดือน เขาได้วางแผนให้แพทย์ออกใบรับรองว่าเขาป่วยเป็นโรคประสาท เพื่อให้เขาได้เดินทางไปหาพ่อกับแม่ที่อิตาลี ต่อมาไอน์สไตน์ได้สอบเข้าเรียนต่อวิชาคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ ที่วิทยาลัยโปลีเทคนิค เมืองซูริค(Federal Polytechnic of Zurich) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ไอน์สไตน์สอบวิชาคณิตศาสตร์ได้คะแนนดีมาก แต่ได้คะแนนน้อยในวิชาชีววิทยาและภาษา ทำให้เขาไม่ได้รับคัดเลือกให้เข้าเรียนในวิทยาลัยแห่งนี้ เขาได้รับจดหมายจากครูใหญ่ของวิทยาลัยโปลีเทคนิคโดยเชิญเขาไปพบและแนะนำให้เขาไปเรียนต่อเพื่อให้ได้ประกาศนียบัตร เขาจึงเข้าเรียนหลักสูตร 1 ปีที่วิทยาลัยในสวิตเซอร์แลนด์ ระหว่างนี้เขาอาศัยอยู่กับครูคนหนึ่งที่สอนอยู่ที่นี่ ไอน์สโตน์รู้สึกชอบวิทยาลัยแห่งนี้มาก เพราะการเรียนการสอนเป็นอิสระไม่บังคับ แนวการสอนเป็นการกระตุ้นให้นักเรียนได้เรียนรู้ตามความสามารถของตน นอกจากนี้สภาพแวดล้อมในการเรียนก็ดีมาก เพราะมีการจัดห้องเรียนเฉพาะสำหรับแต่ละวิชา เช่น ห้องเรียนภูมิศาสตร์ก็มีภาพแผนที่สถานที่ต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศแขวนไว้รอบห้อง ส่วนห้องเคมีก็มีอุปกรณ์ในการทดลองวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัย หลังจากที่เขาจบหลักสูตรประกาศนียบัตร ไอน์สไตน์ได้เข้าเรียนต่อที่วิทยาลัยเทคนิคในสาขาวิชาฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ตามที่ได้ตั้งใจไว้

หลังจากจบการศึกษา ไอน์สไตน์ได้สมัครเข้าทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยแห่งเมืองซูริค แต่ได้รับการปฏิเสธโดยไม่มีเหตุผล ไอน์สไตน์จึงเริ่มออกหางานทำจากประกาศตามหน้าหนังสือพิมพ์ซึ่งมีประกาศรับอาจารย์หลายแห่ง ไอน์สไตน์ได้เข้ารับการสัมภาษณ์ แต่ปรากฏว่าไม่มีสถาบันใดรับเขาเข้าทำงานเลย ไอน์สไตน์คิดว่าอาจเป็นเพราะเขาเป็นชาวยิว ดังนั้นในปี ค.ศ.1901 ไอน์สไตน์ได้โอนสัญชาติเป็นชาวสวิตเซอร์แลนด์ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่สามารถหางานทำได้อยู่ดี จนในที่สุดไอน์สไตน์ก็ได้งานทำโดยเป็นครูในโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง แต่ทำได้เพียงไม่กี่เดือนก็ถูกไล่ออก เขาจึงรับจ้างเป็นครูสอนพิเศษตามบ้าน แม้ว่าเด็กๆ จะรักและชอบวิธีการสอนของเขาก็ตาม แต่เขาก็สอนได้ไม่นานเพราะพ่อแม่เด็กเลิกจ้าง เนื่องจากไอน์สไตน์ได้แสดงความคิดเห็นว่าไม่ควรให้เด็กไปเรียนที่โรงเรียนอีก เนื่องจากครูที่โรงเรียนสอนคณิตศาสตร์ในแบบผิดๆ ซึ่งแตกต่างจากสิ่งที่ไอน์สไตน์สอน

ต่อมาในปี ค.ศ.1902 เพื่อนเก่าคนหนึ่งได้ฝากเขาเข้าทำงานที่สำนักงานจดทะเบียนสิทธิบัตรที่กรุงเบิร์น ถึงแม้ว่าไอน์สไตน์จะไม่ชอบงานที่นี่ แต่ก็ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของเขาดีขึ้น และมีโอกาสได้พบกับสิ่งประดิษฐ์ที่แปลกใหม่ ในระหว่างที่ไอน์สไตน์ทำงานอยู่ที่นี่ เขาได้ใช้เวลาส่วนหนึ่งไปกับการประดิษฐ์สิ่งของ สิ่งประดิษฐ์ชิ้นแรกของไอน์สไตน์คือ "เครื่องมือบันทึกการวัดกระแสไฟฟ้า"

ในปี ค.ศ.1903 ไอน์สไตน์แต่งงานกับมิเลวา มาริค(Mileva Marić) เพื่อนเก่าสมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งเมืองซูริค และในปีเดียวกันเขาได้เริ่มเขียนบทความเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ให้กับนิตยสารเยอรมนีฉบับหนึ่ง ปี ค.ศ.1905 บทความเกี่ยวกับทฤษฎีสัมพัทธภาพ(Theory of Relativity) ของไอน์สไตน์ก็ได้รับความสนใจและยกย่องอย่างมาก ซึ่งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานกับมวลสาร โดยเขียนเป็นสูตรได้ดังนี้ E = mc2

E(Energy) = พลังงาน

m(Mass) = มวลสารของวัตถุ

c = ความเร็วแสง

ทฤษฎีสัมพัทธภาพนี้เองต่อมาได้นำไปสู่การค้นคว้าเรื่อง "พลังงานปรมาณู" เพราะทฤษฎีนี้อธิบายว่ามวลเพียงเล็กน้อยของแร่ชนิดหนึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานมหาศาลที่ใช้ในโรงงานไฟฟ้าขนาดใหญ่ได้อย่างสบาย ในระยะแรกที่ไอน์สไตน์เผยแพร่ผลงานชิ้นนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจนัก แต่เมื่อไอน์สไตน์อธิบายให้ฟังด้วยวิธีง่ายๆ ก็เกิดความเข้าใจมากขึ้น และจากผลงานชิ้นนี้ทำให้เขาได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตขั้นเกียรตินิยมสูงสุด

ในปี ค.ศ.1914 เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ขึ้น ทำให้เกิดความวุ่นวายโดยเฉพาะในยุโรป แต่ถึงอย่างนั้นในปี ค.ศ.1915 ไอน์สไตน์ก็ยังทำการค้นคว้าเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ และตีพิมพ์หนังสืออกมาเล่มหนึ่งชื่อว่า "ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป(General Theory of Relativity)" ซึ่งเป็นทฤษฎีที่หลายคนไม่เข้าใจ แต่ด้วยความที่ไอน์สไตน์เป็นคนสุขุมเยือกเย็น เขาได้อธิบายเกี่ยวกับทฤษฎีในหลายลักษณะเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นโดยสมมติว่า มีรถไฟ 2 ขบวน ขบวนหนึ่งจอดอยู่กับที่ อีกขบวนหนึ่งกำลังวิ่งสวนทางไป ผู้โดยสารที่อยู่บนรถไฟที่จอดอยู่อาจจะรู้สึกว่ารถไฟกำลังวิ่งอยู่ เพราะฉะนั้น อัตราเร็วและทิศทาง จึงมีความเกี่ยวข้องกัน

ในปี ค.ศ.1921 ไอน์สไตน์ได้เสนอผลงานออกมาอีกชิ้นหนึ่ง คือ "ทฤษฎีการแผ่รังสี(Photoelectric Effect Theory)" ผลงานชิ้นนี้เองทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์และรางวัลจากอีกหลายสถาบัน เช่น

- ค.ศ.1925 ได้รับเหรียญคอพเลย์ จากราชสมาคมแห่งกรุงลอนดอน

- ค.ศ.1926 ได้รับเหรียญทองราชดาราศาตร์

- ค.ศ.1931 ดำรงตำแหน่งนักค้นคว้าของวิทยาลัยไครสต์เชิร์ช แห่งมหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ด(University of Oxford)

- ค.ศ.1933 ได้รับเชิญจากประเทศสหรัฐอเมริกาให้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีของสถาบันบัณฑิตวิทยาลัยของมหาวิทยาลัยพรินส์ตัน ที่รัฐนิวเจอร์ซี่ (Institute for Advance Study at Princeton, New Jersey)

นอกจากนี้ทฤษฎีของเขายังสามารถล้มล้างทฤษฎีของจอห์น ดาลตัน(John Dalton) นักฟิสิกส์และเคมีชาวอังกฤษที่ว่า "สสารย่อมไม่สูญหายไปจากโลก เพราะอะตอมเป็นส่วนที่เล็กที่สุดของสสาร ซึ่งไม่สามารถจะแยกออกไปได้อีก" แต่ไอน์สไตน์ได้กล่าวว่า "สสารย่อมมีการสูญสลาย นอกจากพลังงานเท่านั้นที่จะไม่สูญหาย" เพราะพลังงานเกิดขึ้นจากสสารที่หายไป และอะตอมไม่ใช่ส่วนที่เล็กที่สุดของสสาร เพราะฉะนั้นจึงสามารถแยกออกได้อีก

ในปี ค.ศ.1939 เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีเยอรมนีอยู่ในฐานะผู้ก่อสงครามและมีฮิตเลอร์เป็นผู้นำ เนื่องจากฮิตเลอร์รังเกียจชาวยิว และกล่าวหาชาวยิวว่าเบียดเบียนชาวเยอรมันในการประกอบอาชีพ ฮิตเลอร์ได้สั่งให้สังหารชาวยิวไปกว่า 1,000,000 คน ไอน์สไตน์รู้สึกเสียใจมาก แต่เขายังโชคดีที่อพยพออกมาก่อน เพราะในช่วง ค.ศ.1933 ซึ่งขณะนั้นฮิตเลอร์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเยอรมนีได้เริ่มขับไล่ชาวยิวออกจากเยอรมนี ไอน์สไตน์เห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีนักจึงเดินทางออกมา

สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นสงครามที่ยืดเยื้อนานกว่า 6 ปี โดยแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายสัมพันธมิตร ได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซีย และฝ่ายอักษะ ได้แก่ เยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น ต่อมาช่วงกลางปี ค.ศ.1945 เยอรมนี และอิตาลีได้ยอมแพ้สงครามเหลือเพียงแต่ญี่ปุ่นประเทศเดียวเท่านั้นที่ยังไม่ยอมแพ้ ฝ่ายสัมพันธมิตรจึงตัดสินใจทิ้งลูกระเบิดปรมาณูเพื่อบังคับให้ญี่ปุ่นยอมแพ้สงคราม ระเบิดปรมาณูได้ทดลองสร้างขึ้นในระหว่างสงครามโดยมีไอน์สไตน์เป็นผู้ริเริ่มและควบคุมการผลิต ลูกระเบิดปรมาณูลูกแรกของโลกได้ทำการทดลองทิ้งลงที่เมืองฮิโรชิมา(Hiroshima) ในวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ.1945 ทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายกว่า 150,000 คน แต่ญี่ปุ่นยังไม่ประกาศยอมแพ้ ดังนั้นฝ่ายสัมพันธมิตรจึงตัดสินใจทิ้งระเบิดอีก 1 ลูกที่เมืองนางาซากิ(Nagasaki) ในวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ.1945 ทำให้มีผู้เสียชีวิตอีกกว่า 100,000 คน ญี่ปุ่นจึงยอมแพ้สงครามและปิดฉากสงครามโลกครั้งที่ 2

ไอน์สไตน์เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจวายเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ค.ศ.1955 หลังจากที่ไอน์สไตน์เสียชีวิตไปแล้ว ได้มีการสร้างอนุสาวรีย์รูปไอน์สไตน์ครึ่งตัวขึ้นภายในสถาบันฟิสิกส์แห่งกรุงเบอร์ลิน เรียกว่า หอคอยไอน์สไตน์

 

ความรู้อื่นๆ ที่น่าสนใจ

7 ข้อแนะนำสำหรับขาแรงก่อนลงแข่งขันวิ่งระยะไกล

7 ข้อแนะนำเตรียมความพร้อมก่อนเข้าร่วมการแข่งขันวิ่งระยะไกล เพื่อความปลอดภัยของผู้เข้าแข่งขัน

อริสโตเติล

นักธรรมชาติวิทยาคนแรกของโลก

วิลเลี่ยม ฮาร์วี่

นายแพทย์ชาวอังกฤษผู้ใช้เวลากว่า 10 ปีในการศึกษาระบบการไหลเวียนโลหิตในร่างกายว่าทำงานอย่างไร

ภาวะ "คลอดก่อนกำหนด"

เนื่องจากภาวะคลอดก่อนกำหนดจะทำให้ร่างกายของเด็กที่คลอดออกมายังไม่พร้อมต่อการเผชิญสภาพแวดล้อมภายนอก จึงต้องมีการดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ

การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อถูกงูกัด

เมื่อถูกงูกัด ควรตั้งสติให้ดีและปฐมพยาบาลให้ถูกต้อง เพื่อให้พิษส่งผลกระทบกับผูถูกกัดน้อยที่สุด และสามารถนำส่งแพทย์ได้ทัน

ทำอย่างไร...ห่างไกลสมองเสื่อม

ภาวะสมองเสื่อมนั้นถือว่าเป็นโรคชนิดหนึ่ง ไม่ใช่ภาวะปกติของผู้สูงอายุ สาเหตุเกิดจากลักษณะการใช้ชีวิตในแต่ละวันของคนเราว่าจะเพิ่มความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้หรือไม่ จึงควรรู้ถึงสาเหตุและวิธีการป้องกันไม่ให้เกิดภาวะสมองเสื่อม