ภาวะสมองเสื่อมอาจค่อยเป็นค่อยไปหรือเสื่อมลงอย่างรวดเร็วก็ได้ขึ้นกับสาเหตุของการเกิด เช่น ถ้าเป็นโรคอัลไซเมอร์ที่ไม่ได้รับการรักษาอาจใช้เวลานานถึง 5-6 ปี ในขณะที่เกิดโรคสมองเสื่อมจากพยาธิสภาพที่หลอดเลือดสมอง เช่น เส้นเลือดใหญ่ในสมองตีบ แตก หรือตันอาจใช้เวลาเป็นเดือน หรือถ้าโรคสมองเสื่อมนั้นเกิดจากการติดเชื้อไวรัสในสมองอาจใช้เวลาเพียง 1-2 สัปดาห์ก็เป็นได้
โรคทางจิตเวชหลายโรคอาจมีอาการคล้ายโรคสมองเสื่อมได้ เช่น โรคซึมเศร้า(Major Depressive Disorder - MDD) และโรคจิต(Psychotic Disorders) นอกจากนี้ยังต้องพิจารณาแยกโรคสมองเสื่อมออกจากผู้ป่วยที่มีอาการเพ้อ สับสนจากสาเหตุทางกาย(Delirium)
ขึ้นอยู่กับสาเหตุของภาวะสมองเสื่อม ซึ่งโดยทั่วไปประมาณ 15% ของผู้ป่วยสมองเสื่อมอาจสามารถรักษาให้หายได้ ถ้าสาเหตุของภาวะสมองเสื่อมนั้นเกิดจากภาวะเลือดคั่งที่ผิวสมอง โพรงน้ำในสมองขยายตัว ขาดวิตามินบี ต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยกว่าปกติ เนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรงที่เกิดจากเยื่อหุ้มสมองบริเวณฐานสมอง หรือลมชักที่ไม่ได้รับการควบคุมรักษาที่ดีและถูกต้อง เป็นต้น อย่างไรก็ตามผู้ป่วยสมองเสื่อมที่เกิดจากสาเหตุดังกล่าวต้องได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง รวดเร็ว และทันท่วงทีเพื่อให้สมองไม่ถูกทำลายไปมากและสามารถกลับมาสู่ภาวะปกติได้ มิเช่นนั้นแล้วอาจหลงเหลืออาการของภาวะสมองเสื่อมในผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้เช่นกัน
ได้แก่ จิตแพทย์ อายุรแพทย์สาขาประสาทวิทยาและสาขาปัจฉิมวัย
ซักถามประวัติจากผู้ป่วยและผู้ดูแลใกล้ชิด ตรวจร่างกายและตรวจสภาพจิตใจ(ซึ่งรวมถึงตรวจการทำงานของสมอง) ตรวจเลือด เพื่อวินิจฉัยว่าผู้ป่วยมีภาวะสมองเสื่อมหรือเป็นเพียงอาการหลงลืมตามวัย และหากมีภาวะหลงลืม สาเหตุของภาวะหลงลืมนั้นเกิดจากสาเหตุใด ในผู้ป่วยบางรายแพทย์อาจพิจารณาส่งเอกซเรย์สมองด้วยคอมพิวเตอร์หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือเจาะกรวดน้ำไขสันหลังเพิ่มเติมประกอบการวินิจฉัยด้วยก็ได้
สำหรับการรักษานั้นแพทย์จะรักษาสาเหตุของภาวะสมองเสื่อมก่อน(ถ้าสามารถรักษาได้) หากไม่สามารถรักษาที่สาเหตุได้ แพทย์จะให้การรักษาด้วยการปรับพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อมของผู้ป่วยร่วมกับการให้ยาชะลอภาวะสมองเสื่อม(สำหรับภาวะสมองเสื่อมจากบางสาเหตุ เช่น สมองเสื่อมอัลไซเมอร์หรือสมองเสื่อมจากพยาธิสภาพที่หลอดเลือดสมอง) หรือเพื่อควบคุมอารมณ์ พฤติกรรม หรือภาวะอื่นทางจิตเวชที่พบในผู้ป่วยสมองเสื่อมควบคู่กันไป(ในกรณีที่การปรับพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อมของผู้ป่วยไม่ได้ผล) อย่างไรก็ตามควรพึงระลึกอยู่เสมอว่าไม่มียาตัวใดในปัจจุบันที่สามารถรักษาภาวะสมองเสื่อมให้หายขาดได้ ยาเหล่านี้เพียงชะลอการดำเนินโรคของภาวะสมองเสื่อมเท่านั้น,
นอกจากนี้แพทย์มักจะประเมินปัญหาในการดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อมร่วมกับประเมินสภาพจิตใจของผู้ดูแลผู้ป่วย เนื่องจากการดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อมเป็นงานหนัก ยาวนาน ซ้ำซาก และน่าเบื่อหน่าย ถ้าผู้ดูแลเหนื่อยล้า ขาดกำลังใจที่ดีในการดูแลผู้ป่วยจะส่งผลต่อคุณภาพการดูแล ยิ่งไปกว่านั้นหากไม่มีการผลัดเปลี่ยนผู้ดูแลเพื่อลดภาระงานเป็นครั้งคราวหรือวางแผนการดูแลผู้ป่วยไม่ดีอาจพบภาวะซึมเศร้าในผู้ดูแลได้เช่นกัน
ในปัจจุบันยังไม่มีการป้องกันการเกิดโรคสมองเสื่อมที่ได้ผลดีและแม่นยำ แต่หากผู้ป่วยมีระดับการศึกษาสูง ไม่สูบบุหรี่ มีการใช้ความคิดวางแผนแก้ปัญหาเป็นประจำ ออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมบ่อยๆ และตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเส้นเลือดสูง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคสมองเสื่อม หรือถ้าเป็นโรคดังกล่าวแล้วมีการไปพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอเพื่อควบคุมอาการของโรคเหล่านี้ให้อยู่ในภาวะปกติก็อาจจะช่วยป้องกันภาวะสมองเสื่อมได้
7 ข้อแนะนำเตรียมความพร้อมก่อนเข้าร่วมการแข่งขันวิ่งระยะไกล เพื่อความปลอดภัยของผู้เข้าแข่งขัน
พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบัน
นักธรรมชาติวิทยาคนแรกของโลก
นายแพทย์ชาวอังกฤษผู้ใช้เวลากว่า 10 ปีในการศึกษาระบบการไหลเวียนโลหิตในร่างกายว่าทำงานอย่างไร
เนื่องจากภาวะคลอดก่อนกำหนดจะทำให้ร่างกายของเด็กที่คลอดออกมายังไม่พร้อมต่อการเผชิญสภาพแวดล้อมภายนอก จึงต้องมีการดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ
เมื่อถูกงูกัด ควรตั้งสติให้ดีและปฐมพยาบาลให้ถูกต้อง เพื่อให้พิษส่งผลกระทบกับผูถูกกัดน้อยที่สุด และสามารถนำส่งแพทย์ได้ทัน
ภาวะสมองเสื่อมนั้นถือว่าเป็นโรคชนิดหนึ่ง ไม่ใช่ภาวะปกติของผู้สูงอายุ สาเหตุเกิดจากลักษณะการใช้ชีวิตในแต่ละวันของคนเราว่าจะเพิ่มความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้หรือไม่ จึงควรรู้ถึงสาเหตุและวิธีการป้องกันไม่ให้เกิดภาวะสมองเสื่อม